“สมคิด” พยากรณ์ 30 กันยา สั่งล่วงหน้าอย่าเอาชื่อไปเร่ขาย ไม่ขึ้นเวทีดีเบต

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เขินตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคสร้างอนาคตไทย ยอมรับตั้งชื่อพรรคด้วยตนเอง ประกาศล่วงหน้า ห้ามนำชื่อสมคิดไปเร่ขาย ไม่ขึ้นเวทีดีเบตแน่นอน ทำงานมาทั้งชีวิต ไม่อยากโต้วาที 15 นาที

“สมคิด” ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” และเครือมติชน ตอบทุกคำถาม-บันทึกประวัติการเมือง แบบไม่เคยตอบที่ไหนมาก่อน เล่าหมดใจ ทำไมรับปากกลับสนามการเมือง เขียนประวัติชีวิต ตั้งแต่เข้าวงการกับไทยรักไทย เปิดไลน์ที่ส่งจาก พล.อ.ประยุทธ์ กดดันจนต้องอำลาทั้งทีม 4 กุมาร

พร้อมอ่านปรากฏการณ์เศรษฐกิจยุคดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อ บาทอ่อน สเป็กนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ต้องไม่กลัวคนการเมือง พยากรณ์การเมืองหลังวันที่ 30 กันยายน 2565 และวาระนายกฯ 8 ปี ทุกบรรทัดนับจากนี้ คือคำสัมภาษณ์ และวาระทางการเมืองครั้งสำคัญในชีวิต “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”

ทำไมถึงตัดสินใจกลับมาทำงานการเมืองอีกครั้ง

จริง ๆ ตั้งใจจะเลิกอยู่แล้ว ชีวิตก็เปลี่ยนไป สุขภาพก็ดีขึ้น มีโอกาสได้พัก 2 ปี จากไม่ค่อยมีหลาน ก็มีหลานแล้ว 3 คน มีความสุขตามอัตภาพ แต่แล้วผมก็มีความรู้สึกว่า ดวงชะตาของผมก็เป็นอย่างนี้ ลูกน้องอยากจะทำต่อ ได้ริเริ่มแล้วหลายอย่างและตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา เรื่องหลักคือ น้อง ๆ ขอ ขอให้ผมมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้

ทีแรกผมก็ไม่ได้รับปาก ขอเป็นเพียงที่ปรึกษาให้ แต่ดูแล้วทางการเมืองเป็นไปไม่ได้ การมีพรรคการเมืองใหม่ในสมรภูมิอย่างเมืองไทย เป็นไม่ได้เลยที่เราจะอยู่เพียงข้างหลัง

ถ้าคุณไม่มีทุนก็ได้ ส.ส.ลำบาก ถ้าคุณไม่มี ส.ส.ก็ไม่มีเสียงในสภา ไม่มีสิทธิ์มาบริหารประเทศ คนดีคนเก่งก็ไม่อยากเข้ามา อยู่แล้วเจ็บตัว เปลืองตัว วนไปวนมาอยู่แค่นี้ เป็นสิ่งที่ท้อใจมาก

ทำไมใช้ชื่อพรรคว่า สร้างอนาคตไทย

ผมเป็นคนคิดให้เขาเอง เพราะมองว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปลูกหลานไม่มีอนาคตเท่าไหร่ ผมก็อยากจะตั้งชื่อขึ้นมาให้คนเรามีความหวังว่า คุณเลือกเกิดไม่ได้ แต่คุณสามารถสร้างอนาคตได้

ไม่ได้ตั้งใจมาเป็นประธานพรรคให้ แต่สังคมต้องการรู้ชัด ๆ ว่าใครเป็นใคร ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสุดท้ายที่ผมต้องการ คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีคือคนที่จะมาแบกรับภาระทั้งประเทศ ไม่ใช่ของเล่น ๆ ถ้าจะทำให้งานเดิน ประเทศเจริญ ถ้าไม่ถึงจุดซึ่งคนส่งเสริม ก็เป็นไม่ได้ หรือ เป็นแล้วก็ทำไม่ดีพอ ดังนั้น ไม่เคยนึกว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ต้องการ แต่การเมืองเมืองไทยต้องการอย่างนั้น ก็ขอให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ผมเขินมากตอนที่เขาขอใส่ชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และยิ่งเขินหนักเมื่อเอาป้ายขนาดใหญ่ติดไว้ริมถนน

จนถึงวันที่ต้องเปิดตัว เขามาขอว่า จำเป็น ชักแม่น้ำทั้ง 5 มา ผมบอกให้เลือกเอา เป็นประธานที่ปรึกษาได้ไหม ผมอายุเยอะแล้ว ไม่อยากไปเครียด เขาบอกว่า ประธานที่ปรึกษา หรือประธานพรรค เหมือนกัน แต่ขอให้มีน้ำหนัก คือประธานพรรค ผมก็บอกว่าให้แน่ชัดนะ ถ้ากฎหมายไม่มีปัญหา ผมอยากเลี้ยงหลานนะ ตรวจสอบแล้วไม่มีปัญหา ประธานพรรคเป็นตำแหน่งที่ความจริงแล้วไม่มีในกฎหมายด้วยซ้ำไป จึงรับเป็นประธานพรรค

ตกลงกันว่าผมอายุ 69 แล้ว อย่าเอาผมไปเร่ อะไรสำคัญที่อยากให้ผมทำให้แล้วเป็นประโยชน์ก็บอกว่า อย่าเอาผมไปดีเบตกับใคร ผมทำงานมา 20 ปี ถ้าคนมองไม่เห็นว่าผมทำอะไร ไม่มีความจำเป็นต้องไปดีเบต ใช้เวลา 15 นาทีไปบอกประชาชน ผมไม่ทำแน่นอน เป็นข้อตกลง

ตอนนี้กำลังเชียนหนังสือ ผมเริ่มต้นบทแรก เด็กคนนั้นชื่อ จัง ฮั่ง กวง บทที่สอง สมคิด แซ่จัง บทที่สามไล่ไปเรื่อย ๆ เหมือนกับเราย้อนกลับไปสู่อดีตที่เราผ่านมา อยู่ในสมอง หลั่งไหลออกมาเอง เขียนถึงการเมืองสมัยไทยรักไทย เขียนถึงว่า เข้าไปการเมืองได้อย่างไร แล้วมรสุมหลังไทยรักไทยสิ่งที่เจอคืออะไร

แล้วมาสู่การเมืองครั้งที่สองได้อย่างไร แล้วเกิดอะไรขึ้น เป็นต้น ไม่ได้พูดถึงใครที่ไม่ดี เพียงแต่เล่าบริบทที่เป็นจริงว่า อะไรเป็นอะไร อะไรคือปัญหา เมืองไทยมีปัญหาอะไร แล้วแนวทางบริหารจริง ๆ ควรจะทำอย่างไร ขณะเดียวกัน โฆษกพรรคขออัดเป็นคลิบวิดีโอทีละประเด็น ซึ่งแต่ก่อนนี้ผมไม่เคยคิดที่จะบอกเล่ากับใคร คิดว่าให้มันหายไปพร้อมกับผม

การที่เราออกจากรัฐบาลที่แล้ว (รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2) เป็นการจากกันด้วยดี งานก็ไปได้ด้วยดี ก่อนเจอโควิด-19 เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น นักการเมืองในพรรคต้องการมีส่วนต่อเมื่อรัฐมนตรีที่อยู่ในโควตาต้องหลีกทาง โดยใช้วิธีให้กรรมการบริหารลาออก

จากนั้นก็ให้รัฐมนตรีลาออกตาม นายกรัฐมนตรีเราเข้าใจ แรงกดดันทางการเมืองสูง ไม่งั้นคงไม่ไลน์มาหาผม ว่าท่านไม่สบายใจที่สุดในชีวิตของท่าน บางคนที่ต้องเปลี่ยนแปลง ผมก็โทรศัพท์กลับไปทันทีว่า ท่านนายกฯไม่ต้องกังวลใจ ไม่ต้องหนักใจ ถ้าการออกเป็นสิ่งที่ช่วยได้ พรุ่งนี้เช้าออกเลย ส่วนผมถ้าไม่มีลูกมือแล้วผมก็ขอลาพัก สุขภาพเราก็ไม่ดีแล้ว

เรามีแรงบันดาลใจ ว่าสักวันถ้ามีโอกาสพัฒนาประเทศและชี้นำทิศทาง เอกชนรุกไปข้างหน้า ซัพพอร์ตด้วยนโยบาย ทำประเทศให้เหนือกว่าสิงคโปร์ คือความฝันของเรา และยุทธศาสตร์ที่เขียนไว้ในหนังสือกลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในสมองของเรา เมื่อวันหนึ่งเราเข้ามาในรัฐบาลของทักษิณ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ เราก็มีโอกาสใช้สิ่งนี้ทันที ไม่มีอะไรที่แหวกแนว แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ในใจเราแล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่เปลี่ยนแปลง

ถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะแก้วิกฤตเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ค่าเงินบาทอ่อน ดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร

ต้องแยกให้ออกก่อน ข้อที่ 1 เรื่องของนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องพูดตอนนี้ เป็นเรื่องของกระบวนการ แต่การแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจแยกส่วนไม่ได้ ต้องเชื่อมกันทั้ง 4 เรื่อง และการตัดสินใจใด ๆ ในนั้น ต้องเป็นการตัดสินใจที่ดูภาพรวมเป็นหลัก

ยกตัวอย่างง่าย ๆ โลกถดถอยแน่นอน ถ้ามีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างนี้ จะไม่ถดถอยได้อย่างไร เขาตั้งใจขึ้นดอกเบี้ยเพื่อหยุดความร้อนแรงของเศรษฐกิจจริง เพื่อลดแรงกดดันของเงินเฟ้อ ไม่สนใจว่เศรษฐกิจจะถดถอย เพราะสหรัฐอเมริกากลัวเรื่องเงินเฟ้ออันดับหนึ่ง แต่ต้นเหตุของเงินเฟ้อเป็นเรื่องของ supply side เขา trad-off เลย ซึ่งที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในช่วงขาขึ้น

เขากล้าทำและตัดสินใจ แต่ประเทศอื่นไม่ใช่เป็นแบบนั้น ประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ถ้าขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐจะยิ่งถดถอยหรือเปล่า คนจะยิ่งลำบากหรือไม่ ฉะนั้น ผู้บริหารจะต้องไม่เงียบ ต้องสื่อความให้คนรู้ว่า การตัดสินใจแต่ละครั้ง เพราะอะไร

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เราบอกว่ายังไม่อยากจะขึ้นดอกเบี้ย เราไม่กลัวเงินไหลออก แต่พอขึ้นสูงเยอะ ช่องว่างมีเยอะ กระทบแน่นอน เรามีเงินสำรองอยู่ถึง 2 แสนล้านเหรียญ อบอุ่นมาก เป็นเพราะอดีต ถ้าไม่มีอดีตแย่แน่นอน เบาใจได้ อุ่นใจได้ แต่ถ้าขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง เงินสำรองจะเริ่มร่อยหรอ ผมเข้าใจเลยว่า เรื่องท่องเที่ยวจะมาช่วยชดเชยตรงนี้ แต่ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวเพียง 7 ล้านคนต่อปี เคยมี 40 ล้านคนต่อปี 20% ของ GDP ไม่เล็กเลย มันไม่เพียงพอหรอก

หัวใจไม่ได้อยู่แค่นั้น เงินจะไหลเข้าไหลออกอยู่ที่อะไร เขามองว่าการเมืองเป็นอย่างไร ฐานะทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ส่อไปถึงอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร ความสามารถในการแข่งขันของคุณเป็นอย่างไร ต่อให้มีเงินแน่นปึก สิ่งเหล่านี้ไม่ดี เขาก็ไปที่อื่น ซัมซุงไปไหน apple ไปไหน รถไฟฟ้าไปไหน ของเราเหลืออะไร เห็นชัด เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ถ้าขยับดอกเบี้ยตาม เพื่อไม่ให้มีช่องว่างมากเกินไป ก็ต้องดูว่า เท่าไหร่เหมาะสม ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจริง ถามว่าการลงทุนในเมืองไทยในขณะนี้ขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยหรือเปล่า มันแค่ 0.75% จริง ๆ การตัดสินใจลงทุนขณะนี้ ขึ้นอยู่กับความมั่นใจต่างหาก ความเชื่อมั่นในอนาคตต่างหาก ถ้าขึ้นแค่ไหนจะไม่กระทบ

แต่สำคัญที่สุด เมื่อขึ้นต้องมีปัญญาในการบีบ แบงก์อย่าบายพาสให้ประชาชน โยนมา แบงก์ก็โยนไปประชาชน ไม่ได้ SMEs ตอนนี้ก็ไม่ได้เงินอยู่แล้ว รายใหญ่ต้องรับไป แบงก์ต้องสามารถที่จะบริหารจัดการตรงนี้ได้ ไม่ใช่ขึ้น 100 ก็เต็ม 100 เลย ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องมีกระทรวงการคลังดีกว่า แบงก์ชาติก็ไม่ต้องมีดีกว่า

ถ้ารู้ว่าต้องขึ้นเท่าไหร่ เรียกแบงก์มานั่งคุย ขณะนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร ช่วยกันได้หรือไม่ กฎเกณฑ์ของแบงก์ชาติทั้งหลายที่เสมือนหนึ่งใช้ในยามปกติ ใช้ได้จริงหรือไม่ SMEs รับไม่ได้เลย ปล่อยไม่ได้เลย คุณบอกว่าต้องกระแสเงินสด คุณเปิดลูกตาใหญ่ ๆ ดูท่องเที่ยวทางใต้ ร้างมา 2 ปีกว่า จะเอากระแสเงินสดที่ไหนมากู้ อยู่ ๆ จะให้เขาเจ๊ง กฎหมายมีไว้สร้างประเทศ กฎหมายไม่ได้มีไว้ทำลายประเทศ

ตอนนี้เศรษฐกิจพึ่งพาอะไรได้บ้าง

การช่วยเหลือคนยากจนในขณะนี้สำคัญที่สุด เพราะไม่มีทางอื่น พ่อค้าแม่ค้าไม่มีเงินหมุน ต้องมีเงินเตรียมการช่วยเหลือ เป็นหน้าที่ของธนาคารรัฐ ธนาคารออมสินเป็นหน้าที่ ต้องเตรียมเอาไว้ ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ดี กระทบส่งออก ดีอย่างเดียวค่าเงินบาทอ่อน แทบไม่มีที่พึ่ง ท่องเที่ยว ฝรั่งไม่มาก็ต้องให้คนไทยเที่ยวกันเองก่อน

กองทุนหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้าน ทำไมไม่เอาสินค้าของจังหวัดหนึ่ง หมู่บ้านหนึ่ง trad across กองทุนหมู่บ้านในประเทศไทย จัดงบประมาณไปดูงานระหว่างกองทุน เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจไหม มันจะเกิดถ้าคุณคิด ถ้าคุณไม่คิดอะไรมันก็ไม่เกิด ปัญหาคือรัฐบาลคิดหรือเปล่า

นายกรัฐมนตรีคนต่อไปที่จะมาเดินหน้าให้การเมืองและเศรษฐกิจเดินจะต้องมีสเป็กอย่างไร

ขอคนที่ไม่ต้องเกรงกลัวการเมืองสักคนได้ไหม การบริหารประเทศให้ไปข้างหน้าได้ ต้องเป็นตัวของตัวเอง ถ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนจะเป็นแบ็กให้คุณเอง เสียงทั้งหลายที่นั่งอยู่นั้น ทำอะไรผู้นำไม่ได้หรอก ถ้าเป็นผู้นำของประชาชน ผู้นำก็ให้รู้เรื่องภาพรวมมากหน่อย ถ้าไม่รู้เรื่อง ก็ต้องหาคนที่รู้เรื่องมาแวดล้อม เอาคนที่ฉลาดมีปัญญามาแวดล้อม ทุกอย่างก็เดินได้

ถ้าไม่มีเลย แล้วก็ไม่รู้ด้วย จะเดินอย่างไร ก็วนอยู่ในอ่าง ผู้นำต้องสามารถยืนโดยที่ไม่ต้องเกรงการเมือง เพราะบางครั้งคนเป็นผู้นำต้องรู้ว่า อะไรคือความถูกต้องของการพัฒนาประเทศ ดูลี กวน ยู รู้ว่าทางนี้คือทางพัฒนาประเทศสิงคโปร์ ถ้าได้ ประเทศไทยก็มีโอกาสที่จะเดินไปข้างหน้าได้เร็ว

วันที่ 30 กันยายนนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ประเทศจะเดินไปอย่างไร

จะตัดสินอย่างไรก็แล้วแต่ อยู่ที่ประชาชน ยังไงก็ต้องมีการเลือกตั้ง ถ้ายังเลือกตั้งโดยที่ไม่ดูอะไรเลย สมการการเมืองไม่เปลี่ยน ลองเอาจำนวนเสียงมาเรียงกันดูสิ มีพรรคไหนบ้างที่จัดตั้งรัฐบาลได้ ด้วยโครงสร้างอย่างนี้ คุณจะจัดตั้งรัฐบาลได้คุณต้องเลือกนายกฯได้ใช่ไหม

ส.ว.มีอยู่แล้ว 250 คุณจะได้กี่เสียง คุณจะเสนอใคร จะได้นายกฯไหม ไม่มีพรรคหนึ่งพรรคใดทำอย่างนั้นได้ ถ้าไม่เพียงพอที่จะตั้งนายกฯได้ ก็ต้องอาศัยพรรคอื่นใช่ไหม พรรคอื่นมีพรรคอะไรบ้าง ถ้าคุณไม่มีความใหม่ขึ้นมาเลย อีหรอบเดิมไหม ก็เหมือนเดิม ดีใจแป๊บเดียว เพราะได้เลือกตั้ง 4 วินาที เหมือนเดิมทุกประการใช่ไหม

ฉะนั้น อยู่ที่มือของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย อาวุธที่สำคัญที่สุดของประชาชนก็คือการเลือกตั้ง ต้องเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น ต้องคิด การเลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์

ถ้าสามารถสร้างพรรคการเมืองใหม่ 2 พรรค ที่มีจำนวนพอสมควร และบังเอิญทำให้สมการการเมืองต้องอาศัยพรรคเหล่านี้ การเมืองเปลี่ยนไหม เปลี่ยนนะครับ แต่ที่เป็นอย่างนี้มาตลอด สมการการเมืองไม่เคยเปลี่ยน เพราะว่าไม่มีตัวแปรใหม่ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ลองไปดูแต่ละพรรคจะได้เท่าไหร่ ตั้งนายกฯไม่ได้ เพราะมี ส.ว. 250 เสียง ฉะนั้น ต้องรวม ส.ส. มีพรรคใหม่เข้ามา ต้องมีสิ่งใหม่ ความเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดใช่ไหม

ผมตั้งใจว่าผมจะช่วยน้อง ๆ สร้างพรรคที่ดี ดูซิว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ได้ผมก็กลับไปมีความสุขของผม ไม่ต้องมานั่งปวดหัวมีความทุกข์ ทำเท่าที่กำลังเรามี พรรคการเมืองที่ดีต้องเป็นพรรคการเมืองที่เป็นทางสายกลาง เอาคนดี คนเก่งมาทำงาน

ถ้าเลือกตั้งแล้วก็กลับไปที่จุดเดิม มีพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์

ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรใหม่เลย แต่โครงสร้างการเมืองจะเหมือนเดิม อาจจะสลับตรงที่ว่า บางพรรคมีคะแนนมากขึ้น บางพรรคมีคะแนนน้อยลง พรรคที่ได้คะแนนมากขึ้นก็จะมีกระทรวงมากขึ้น การบริหารก็จะเหมือนเดิม นายกฯนั่งหัวโต๊ะ แต่อำนาจจริง ๆ อยู่ที่พรรคการเมือง ไปกันคนละทาง ไม่ต่างอะไรกับตอนนี้ เสนอให้มี ครม.เศรษฐกิจ เพื่อแก้ปัญหาต่างคนต่างไป ให้นายกฯทุบโต๊ะนำทิศทาง สุดท้ายแทนที่จะได้ ครม.เศรษฐกิจ คุณก็ได้มินิ ครม.

ถ้าสมการการเมืองไม่เปลี่ยน ไม่ร่วมกับพลังประชารัฐแล้วจะร่วมกับใครเป็นแกน

สมการไม่เปลี่ยนก็กลับบ้าน คุณจะไปแก้สมการ แต่ทำสอบในสมการไม่ได้ แก้โจทย์ไม่ได้ มีทางเดียวก็ส่งข้อสอบ

คาดหวังว่าจะได้ ส.ส.กี่ที่นั่ง จะถึง 25 ที่นั่งหรือไม่

ผมจะไปรู้ได้ไง ผมไม่เคยไปยุ่งกับพรรคเขา ถ้าหัวหน้าพรรค (อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย) เอา

ถึง 25 ก็ปวดหัว ไม่ถึง 25 สบาย กลับบ้านเลี้ยงหลาน ไปคิดให้ซีเรียสทำไม ทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเราตั้งใจไว้แล้วว่า จุดประสงค์ของเราคือ สร้างพรรคการเมืองที่ดี ไม่ใช่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ถ้าได้ไม่ถึง 25 ที่นั่ง ก็จะไม่มีโอกาสเป็นนายกฯ เพื่อเข้าไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ตั้งใจจะทำไว้

อยู่ที่พรหมลิขิตว่าชะตาบ้านเมืองเป็นอย่างไร ถ้าชะตาบ้านเมืองยังไปได้ก็จะมีอะไรบางอย่างให้ไปได้ ทุกอย่างมีขึ้นมีลง ถ้ามีสิ่งที่ทำให้ลงแล้วไม่รู้จักพลิกให้ดีขึ้น คุณก็ลง อินโดนีเซียก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเลยนะ แค่มีโจโกวีมา เปลี่ยนนะ อย่าไปดูถูกลูกมาร์กอสนะ ตอนนี้เป็นอีกรุ่นหนึ่งแล้ว

แล้วเรามีอะไร ทุกคนเรารู้จักกันหมด แต่เราต้องมองดู basic ว่าประเทศเราตอนนี้ต้องการอะไร บางทีประเทศก็ต้องการเวลาหยุดพักบ้าง อย่าทะเลาะกันเลย ระดมคนดี คนเก่งมาทำงาน บ้านเมืองถึงจะสามารถไปต่อได้ อีกพักหนึ่ง ต้องคิด

จะยุบสภาเมื่อไหร่ แล้วจะมีเลือกตั้งหรือไม่   

ผมไม่รู้ วันที่ 30 กันยายนจะเป็นยังไงยังไม่รู้เลย