เฟรเซอร์สฯโฮม ชู 4 กลยุทธ์เติบโตแข็งแกร่ง ลงทุนใหม่ 11 โครงการ 17,500 ล้าน

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) มองภาพอสังหาฯ ปี’66 ฟื้นตัวต่อเนื่อง ลุยลงทุนใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 17,500 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ “เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม เติบโตบนสมรภูมิใหม่” เพิ่มพอร์ตพัฒนาบ้านแนวราบครบทุกเซ็กเมนต์ จ่อเปิดคอนโดฯ Low Rise ใกล้แนวรถไฟฟ้าราคา 3-5 ล้าน แตกแบรนด์บ้านเดี่ยวลักเซอรี่ ขยายฐานต่างจังหวัดเจาะกลุ่มลูกค้ารายได้ประจำ ตั้งเป้าสิ้นปี’66 มียอดรับรู้รายได้ 13,000 ล้านบาท เติบโต 14% จากปี’65

วันที่ 18 มกราคม 2566 นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคเอกชน การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น

รวมทั้งนโยบายการเปิดประเทศที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา คาดว่ามีจำนวนสูงกว่า 20 ล้านคนในปี 2566 ซึ่งภาคการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 3.0-3.5%

แสนผิน สุขี
แสนผิน สุขี

ประกอบกับการขยายตัวของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ โดยเฉพาะในหัวเมืองหลักเพื่อรองรับการกลับมาของการท่องเที่ยว พร้อมทั้งนักลงทุนต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามา ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง

“แผนธุรกิจในปี 2566 บริษัทตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2565 โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 17,500 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 7 โครงการ, ทาวน์โฮม 2 โครงการ, บ้านแฝด 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ”

บริษัทเดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ตามแผน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญให้ก้าวเข้าสู่ความแข็งแกร่งในทุกด้าน ภายใต้วิสัยทัศน์ คิดใหม่ ทำใหม่ (ให้) ใหม่เสมอ เพื่อสร้างผลตอบแทนบนรายได้ที่เติบโตสม่ำเสมอ

แผนธุรกิจดำเนินการผ่าน 2 กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ 1.เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและมีนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

2.เติบโตบนสมรภูมิใหม่ กับการสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสามารถรักษาระดับอัตราการเติบโตของธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุม ตอบโจทย์ได้ครบทุกความต้องการ และสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยให้แตกต่างจากที่เคย

รายละเอียด 4 กลยุทธ์เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิมและเติบโตบนสมรภูมิใหม่ ประกอบด้วย

1.แผนเดินหน้าเปิดตัวโครงการบ้านในทุกระดับราคา บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพัฒนาบ้านเดี่ยวในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับลักเซอรี่ เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำในจังหวัดที่มีการขยายตัวของเมืองและแหล่งงานด้วยการนำเสนอสินค้าคุณภาพและมีนวัตกรรม ให้ความสำคัญกับเรื่องการใช้งานแบบมีสไตล์สะท้อนตัวตน ปรับฟังก์ชั่นการใช้งานให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้า

ขณะเดียวกันยังคงรักษาการเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮม ด้วยการพัฒนาโครงการคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูง และโดนเด่นด้วยฟังก์ชั่นที่ครองใจลูกค้า

รวมถึงพัฒนาบ้านแฝดที่เน้นการออกแบบและฟังก์ชั่นที่เทียบเท่าบ้านเดี่ยว เน้นทำเลใกล้เมืองและแหล่งอำนวยความสะดวก ด้วยราคาที่จับต้องได้

2.เดินหน้าจัด Big Campaign เพื่อกระตุ้นยอดขายตลอดปี 2566 ซึ่งวางแผนจัดแคมเปญทางการตลาดและโปรโมชั่นพิเศษตลอดทั้งปี เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อให้กับผู้บริโภค พร้อมทั้งเป็นการสร้างการรับรู้ และจดจำแบรนด์สินค้าของบริษัทอีกด้วย

3.บุกตลาดคอนโดมิเนียม Low Rise เนื่องจากเห็นโอกาสทางการตลาดหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายซึ่งประเมินว่าตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise ระดับราคา 3-5 ล้านบาทที่มีสัดส่วนดีมานด์เพิ่มมากที่สุดในปี 2565 ในขณะที่สินค้าคงเหลือในตลาดกลับมีไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

โดยบริษัทมีแผนพัฒนาคอนโดฯ Low Rise บนโลเกชั่นตั้งอยู่ในเมืองและใกล้รถไฟฟ้าภายใต้ชื่อแบรนด์ใหม่ ซึ่งจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้

4.ขยายพอร์ตบ้านเดี่ยวระดับลักเซอรี่ และระดับซูเปอร์ลักเซอรี่ ซึ่งจะเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับลักเซอรี่ราคา 60-120 ล้านบาทใน 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ The Royal Residence (เดอะ โรยัล เรสซิเดนซ์) ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ รวมถึง Alpina (อัลพีน่า) และ The GRAND (เดอะ แกรนด์)

เน้นเจาะกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเอง และสามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้ตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต

อนึ่ง เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) ผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยของประเทศไทย เป็นหนึ่งใน 3 กลุ่มธุรกิจ ของ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT”

ปัจจุบัน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม มีโครงการที่พักอาศัยคุณภาพสูงรวม 75 โครงการในหลายทำเลครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ภายใต้แบรนด์ โกลเด้น, นีโอ โฮม, แกรนดิโอ และเดอะ แกรนด์ มีมูลค่าสินทรัพย์รวม 70,000 ล้านบาท

สำหรับบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จากการเข้าซื้อกิจการของบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “GOLD”

ส่งผลให้ปัจจุบัน FPT เป็นผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายแรกของประเทศไทย ที่มีแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครอบคลุมประเภทที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ FPT ยังเป็นผู้สนับสนุนและผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ หรือ FTREIT ซึ่งปัจจุบันเป็นกองทรัสต์อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

อีกทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนและผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ หรือ GVREIT เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชยกรรม โดย FPT, FTREIT และ GVREIT เป็นบริษัทและกองทรัสต์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

และสำหรับเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด หรือกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ เป็นบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ (SGX-ST) ซึ่งมีแนวทางการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการเป็นเจ้าของ ผู้พัฒนา และผู้บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภทแบบครบวงจร มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 40,700 ล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565)

สินทรัพย์ของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ 5 ประเภท  ประกอบด้วย อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย อสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้าและพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมและโรงแรม รวมถึงบิสซิเนส พาร์ค และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออสเตรเลีย ยุโรป และจีน

นอกจากนี้บริษัทยังเป็นเจ้าของ และ/หรือเป็นผู้บริหารจัดการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์และโรงแรมมากกว่า 70 เมือง ไม่ต่ำกว่า 20 ประเทศในทวีปเอเชีย ออสเตรเลีย ยุโรป ภูมิภาคตะวันออกกลาง และแอฟริกา


ทั้งนี้กลุ่มบริษัทมีความมุ่งมั่นเดียวกันในการส่งมอบประสบการณ์ที่มีคุณค่า และน่าจดจำให้แก่ลูกค้า และผู้ถือหุ้น โดยอาศัยความรู้ และความสามารถจากทุกตลาดและภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อส่งมอบคุณค่าในสินทรัพย์ที่หลากหลายที่มีอยู่