บ้านหนองเขียวโมเดล ลดพื้นที่เผา เพิ่มพืชเศรษฐกิจแก้ยากจน

ต้องยอมรับว่าในอดีตชุมชนบนพื้นที่สูงของจังหวัดแม่ฮ่องสอนหลายแห่งมักจะบุกรุกป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย โดยเฉพาะการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเมื่อเก็บผลผลิตแล้ว แทนที่ชาวบ้านจะเลือกวิธีไถกลบเพื่อเป็นปุ๋ยให้กับพื้นที่เพาะปลูกของตัวเอง กลับเลือกวิธีเผาซังข้าวโพด จนทำให้เกิดฝุ่นควัน PM 2.5 อันส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศภายในจังหวัด

สำคัญไปกว่านั้นสภาพพื้นที่สูงหลายแห่งกลายเป็นภูเขาหัวโล้นเกือบทั้งสิ้น

จนเมื่อไม่นานผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยสำนักงานสหกรณ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมกับสถาบันวิจัย และพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และจังหวัดแม่ฮ่องสอนจัดตั้งกลุ่มเตรียมสหกรณ์พัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงให้กับชุมชนบ้านหนองเขียว ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ภายใต้โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเฉพาะพื้นที่บ้านหนองเขียว และกลุ่มบ้านบริวาร จนทำให้บ้านหนองเขียววันนี้เต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียว มีผืนป่าอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านมีรายได้จากการปลูกพืชผัก สมุนไพร และไม้ผล

โดยพืชที่ส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกแทนการทำไร่เลื่อนลอย อาทิ เสาวรส, อะโวคาโด, กาแฟ และพืชไร่คือถั่วลายเสือ โดยมีสำนักงานสหกรณ์จังหวัดดูแลเรื่องตลาด พร้อมเสริมองค์ความรู้เรื่องสหกรณ์แก่ชาวบ้าน เพื่อจะได้รวมกลุ่มจัดตั้งเป็นสหกรณ์ในอนาคต

“บรมัตถ์ ทิพกนก” ผู้อำนวยการกลุ่มตรวจการสหกรณ์ สำนักงานสหกรณ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า กลุ่มเตรียมสหกรณ์พัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงบ้านหนองเขียวเป็นโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเฉพาะพื้นที่บ้านหนองเขียว และกลุ่มบ้านบริวาร ที่ทางจังหวัด และสำนักงานสหกรณ์จังหวัดลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับสำนักงานวิจัย และพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เข้าไปพัฒนาความยากจนของประชาชน

โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการลดพื้นที่การบุกรุกทำลายป่า ลดการเผา สร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับคนแม่ฮ่องสอน และยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว ล่าสุดทางสถาบันวิจัย และพัฒนาพื้นที่สูง รวมถึงหน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ เข้าไปพัฒนาอาชีพสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ทั้งยังมีการส่งเสริมให้ปลูกพืชผักในโรงเรือน และไม้ผล ได้แก่ อะโวคาโด, เสาวรส และพืชกาแฟ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้เป็นอย่างดี

“การลดพื้นที่เผาโดยการส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกเสาวรส และอะโวคาโด เพื่อทดแทนการปลูกข้าวโพด ทำให้เขาเผาไม่ได้ ถ้าเขาเผา จะพังทั้งหมด เพราะแปลงปลูกมีการวางท่อระบบน้ำไว้หมด ในส่วนพื้นที่แปลงปลูกกาแฟอันนี้ก็ไม่สามารถเผาได้”

นอกจากนั้น “บรมัตถ์” ยังกล่าวถึงการเพิ่มรายได้เสริมให้กับชาวบ้าน โดยใช้พื้นที่ส่วนกลางของโครงการปลูกผักในโรงเรือนมาช่วยเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้านอีกทางหนึ่ง ปัจจุบันมีสมาชิกเข้าร่วมโครงการจำนวน 28 ราย และกำลังขยายผลไปสู่พื้นที่กลุ่มบ้านบริวารต่อไปในอนาคต

โดยกลุ่มเตรียมสหกรณ์พัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงบ้านหนองเขียวถอดองค์ความรู้ทั้งหมดจากโครงการหลวงและพื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะโครงการบ้านห้วยน้ำใส ต.สบเมย อ.สบเมย โครงการบ้านดอยผักกูด ตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย มาใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาโครงการบ้านหนองเขียวด้วย

“โครงการนี้เริ่มมาตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2566 ตอนนี้คืนรายได้ให้เกษตรกรกว่า 1.6 แสนบาทแล้ว ผลผลิตหลักของที่นี่มีอะโวคาโด, ถั่วลายเสือส่งขายตลาดแม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ ตั้งเป้าไว้อีก 5 ปี จัดตั้งเป็นกลุ่มสหกรณ์ได้ ตอนนี้มีการอบรมองค์ความรู้เกี่ยวกับสหกรณ์ การรวมกลุ่ม การมีวินัยทางการเงิน โดยสอนออมเงินในกระบอกไม้ไผ่ เพื่อเป็นการสนองนโยบายท่านอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ในการจัดตั้งสหกรณ์ที่มีคุณภาพ”

ปัจจุบันจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีทั้งหมด 41 สหกรณ์ มีสหกรณ์ครบทั้ง 7 ประเภท โดยแต่ละสหกรณ์จะกู้เงินจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์เป็นหลัก เพื่อนำมาดำเนินธุรกิจและช่วยเหลือดูแลสมาชิก ส่วนการพัฒนาอาชีพของโครงการหลวงจะมีอยู่ทั้งหมด 4 สหกรณ์ ตั้งอยู่ในอำเภอแม่สะเรียง และอำเภอแม่ลาน้อย โดยมีการส่งเสริมการปลูกพืชผักในโรงเรือนพลาสติก และไม้ผลเมืองหนาวเป็นหลัก

“สหกรณ์ที่อยู่ในโครงการหลวงทั้ง 4 แห่งไม่มีปัญหาเรื่องตลาด โครงการหลวงเขาดูแลอยู่แล้ว และส่งให้ดอยคำ ส่วนของเราจะต้องหาตลาดเอง โดยตลาดหลักอยู่เชียงใหม่ บางส่วนก็อยู่ในแม่ฮ่องสอน”

“บรมัตถ์” ย้ำด้วยว่า สำหรับกิจกรรมที่สำนักงานจังหวัดแม่ฮ่องสอนเข้าไปส่งเสริมสนับสนุนให้กับชาวบ้านในการเตรียมจัดตั้งเป็นกลุ่มสหกรณ์ อาทิ การทำปุ๋ยหมักจากซังข้าวโพด โดยไม่เผา แต่นำมาเป็นวัตถุดิบในการทำปุ๋ย

นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้สมาชิกเปิดพื้นที่เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เนื่องจากบ้านหนองเขียวมีจุดเด่นเรื่องสภาพภูมิประเทศที่เหมาะสมด้านการท่องเที่ยว ทั้งยังมีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,400 เมตร ซึ่งอากาศจะเย็นสบายตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ การรักษาวิถีดั้งเดิมของชุมชนคือการเอามื้อสามัคคีมาเป็นการร่วมแรงกัน เช่น การเพาะกล้า, การเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าแรงงานลงได้ โดยเรื่องตลาด ทางสหกรณ์จะเป็นคนดูแลให้ทั้งหมด โดยประสานภาคีเครือข่ายสหกรณ์ด้วยกันเอง และบริษัทผู้ประกอบการทั้งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และต่างพื้นที่ ทั้งยังมีหอการค้าแม่ฮ่องสอน และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดมาช่วยประสานผู้ประกอบการจากส่วนกลางอีกทางหนึ่ง เพื่อรับซื้อผลผลิตจากกลุ่มชาวบ้านหนองเขียว

เพื่อให้เกิดชุมชนยั่งยืนในที่สุด