มะเร็งต่อมน้ำเหลือง รู้เร็ว รักษาทัน หายขาดได้

เพียงเอ่ยคำว่า “มะเร็ง” ก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากอกสั่นขวัญแขวนได้ไม่น้อย เพราะมะเร็งถูกจดจำว่าเป็น “โรครอวันตายและไม่มีทางรักษาหายขาด” ดังนั้นเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่า “เป็นมะเร็ง” ความรู้สึกตระหนกและหมดหวังอาจจะถาโถมเข้าหาผู้ป่วยในคราวเดียวกัน

แต่ไม่ใช่กับ “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” ที่หากรู้เร็ว เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็มีโอกาสสูงที่จะหายขาดจากโรคและกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติ

ศ.นพ.ธานินทร์ อินทรกำธรชัย ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา ประธานชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งทางโลหิตวิทยาที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศไทยและในโลก ติดอันดับ 1 ใน 5 ของมะเร็งที่พบบ่อยในไทย ขณะเดียวกันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองก็เป็นโรคมะเร็งที่มีโอกาสรักษาแล้วหายขาดได้สูงสุดในบรรดาโรคมะเร็งทั้งหลายเช่นกัน

“แม้โอกาสหายขาดเป็นปกติไม่ใช่ 100% แต่ก็สูงถึง 80% ขึ้นกับชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งมีมากกว่า 30 ชนิด และระยะเวลาที่คนไข้มาหาหมอว่า ช้าหรือเร็ว ถ้าถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ไม่ต้องเสียกำลังใจ เพราะมียาดี ๆ เยอะ ให้รีบมารักษาถูกวิธี อย่าปล่อยเวลานานให้เสียโอกาส” ประธานชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทยแนะนำ

โดยปกติเมื่อร่างกายได้รับเชื้อโรค ต่อมน้ำเหลืองจะโตขึ้นและยุบตัวลงเองเมื่อผลิตเม็ดเลือดขาวมาสู้กับเชื้อโรคจนหมดไป แต่การโตของต่อมน้ำเหลืองที่มากเกินปกติ เช่น ก้อนบวมขนาดมากกว่า 1.5 ซม. และนานเกินกว่า 2-3 สัปดาห์ อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยถึงโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากต่อมน้ำเหลืองสามารถโตในร่างกายได้ ไม่เฉพาะแต่บริเวณลำคอ รักแร้ และขาหนีบ ซึ่งเป็นจุดสังเกตเบื้องต้น

ในคนไข้บางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองโตในกระเพาะ ทำให้มีอาการกินอาหารแล้วอิ่มง่าย อาเจียน และปวดท้อง ซึ่งต้องเอกซเรย์จึงจะสามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือไม่

ศ.นพ.ธานินทร์กล่าวว่า โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งออกเป็น 4 ระยะ โดยโอกาสหายขาดเมื่อได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะที่ 1 มีสูงถึง 70-90% ขณะที่การได้รับการรักษาในระยะที่ 2-4 มีโอกาสหายขาดประมาณ 60% ซึ่งโรคนี้มีแผนการรักษาแน่นอนคือ การทำเคมีบำบัดร่วมกับการให้ยาโมโนโคลแอนติบอดีประมาณ 6-8 ครั้ง ทุก ๆ 3 สัปดาห์ จากนั้นติดตามผลทุก 6 เดือน ในระยะเวลา 5 ปี ว่ามีแนวโน้มว่าจะหายขาดหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมการรักษาอื่น ๆ เช่น การใช้เคมีบำบัด การฉายแสง และการปลูกถ่ายไขกระดูก (สเต็มเซลล์)

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) ประกาศเบิกจ่ายการใช้ยาโมโนโคลแอนติบอดีแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดน็อนฮอดจ์กิน ชนิด diffused large B cell lymphoma (DLBCL) ที่มีเป้า CD 20 เป็นบวก ซึ่งเป็นชนิดที่พบบ่อยในคนไทยร้อยละ 50

ส่งผลให้คนไข้ที่ใช้บัตรทองสามารถเบิกจ่ายได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งการใช้ยาตัวนี้ควบคู่กับการรักษาเคมีบำบัดมาตรฐานช่วยเพิ่มโอกาสหายขาดได้ถึง 15%

สุวพร ดำรงสุกิจ อดีตผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองประเภท DLBCL ที่การก้าวข้ามผ่านโรคมะเร็งได้เป็นแรงบันดาลใจให้มุ่งมั่นและกลายมาเป็นนักกีฬาปีนหน้าผาทีมชาติไทย เล่าว่า เคยท้อแท้ถึงขนาดอยากฆ่าตัวตาย แต่ด้วยกำลังใจจากเพื่อน ครอบครัว รวมทั้งความเป็นไปได้ที่จะหายขาดจากโรค ทำให้ฮึดสู้ความยากลำบากในการรักษาตัวประมาณ 6-7 เดือนมาได้

“เริ่มแรกมีอาการไอและเป็นไข้ เข้าใจว่าป่วยไม่มากจึงไปซื้อยามากินจนไข้หาย แต่อาการไอหายไปไม่นานก็กลับมาใหม่ กระทั่งตอนหลังเมื่อนอนหงายรู้สึกหายใจไม่ออกจึงไปหาหมอและพบว่า มีก้อนขนาด 10 ซม. ในช่องปอด รักษาโดยการทำคีโม 6 ครั้ง ร่วมกับรับยา 8 ครั้ง ตอนป่วยก็พยายามคิดว่าไม่เป็นอะไร มันสามารถเกิดขึ้นได้ แต่พอหายมาได้ก็มีอะไรดี ๆ รอเราอีกมากมาย ชีวิตอีกยาวและยังมีอะไรสวยงามอีกเต็มไปหมด พิมพ์เคยอยากมีลูก แต่ก็มีไม่ได้เพราะเป็นซีสต์ในรังไข่ แต่หลังจากคีโมมา 1 ปี พิมพ์ก็กลับมาท้องได้ ไม่คาดคิดจริง ๆ” สุวพรเล่า

อีก 1 อดีตผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองประเภท mantle cell lymphoma ระยะที่ 4 ซึ่งได้ผ่านการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเรียบร้อยด้วยใจที่เข้มแข็ง ดร.ณัฐจารีย์ ศรีเพ็ชร์ เล่าว่า ตกใจมากในครั้งแรกที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ซึ่ง ณ ตอนนั้นเซลล์มะเร็งเข้าไขกระดูกไปแล้ว

“มันไม่ง่าย มันไม่ใช่หวัด แต่ถามว่ามันผ่านได้ไหม มันก็ผ่านได้ แต่เราต้องมีวินัย เราท้อได้ แต่ต้องลุกให้เร็ว เพราะไม่มีใครช่วยเราได้ สิ่งที่สำคัญคือเราต้องยอมรับก่อน เพราะเมื่อเรายอมรับได้ มีแผนการรักษาและก็ต้องมั่นคงตามนั้น ซึ่งระยะที่ 4 นี่ ถ้าไม่รักษาก็คงตาย” ดร.ณัฐจารีย์เล่า

แม้ว่าจะน่ากลัวอย่างไร รักษายากแค่ไหน แต่หลายคนก็เอาชนะโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมาแล้ว เช่นกันกับมะเร็งอีกหลายชนิดที่ยิ่งรักษาเร็วเท่าไหร่ โอกาสหายขาดก็มากเท่านั้น