คอลัมน์ : สัมภาษณ์
หลังกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ระบุว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2565 ความต้องการเดินทางท่องเที่ยวมีแนวโน้มสูงขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยในช่วง 7 เดือนแรก (มกราคม-กรกฎาคม 2565) ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 3.15 ล้านคน
คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 13.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 (ก่อนโควิด-19) ผู้ประกอบการโรงแรมบางส่วนยังโอดครวญว่ายังไม่มีลูกค้า ขณะที่โรงแรมบางส่วนเริ่มรับลูกค้าชาวต่างชาติในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมเชนขนาดใหญ่เป็นหลัก
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์ “วุฒิพล ถาวรธวัช” กรรมการผู้จัดการ เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (Urban Hospitality Group : UHG) หรือ ยูเอชจี ผู้ลงทุนและบริหารโรงแรมระดับ 4 ดาว รายใหญ่ในกรุงเทพฯ ภายใต้แบรนด์ The Quarter by UHG ถึงการปรับตัวในช่วงวิกฤตโควิด ทิศทางของธุรกิจโรงแรมและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงแผนการลงทุนรองรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วง 2-3 ปีนี้
นทท.ต่างชาติกลับมาแล้ว
“วุฒิพล” บอกว่า ปัจจุบันโรงแรม The Quarter by UHG ที่มีอยู่จำนวน 14 แห่งในกรุงเทพฯ ได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ตั้งแต่ระลอกแรกเมื่อต้นปี 2563 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดิมเคยมีสัดส่วนประมาณ 70% หายไปหมด
แต่ ณ ปัจจุบันโรงแรมของกลุ่ม UHG ได้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาแล้วประมาณ 40% โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชียคือ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย รองลงมาคือ ยุโรป อเมริกา ขณะที่กลุ่มคนไทยมีสัดส่วนเหลือประมาณ 60%
สำหรับกลุ่ม UHG แล้วถือว่าได้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับคืนมาค่อนข้างเร็ว โดยเห็นตัวเลขชัดเจนตั้งแต่รัฐบาลเปิดประเทศ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 และช่วง 2 คือยกเลิก Test & Go หรือไม่ต้องตรวจ RT-PCR และ ATK เมื่อเดือนเมษายน 2565 และชัดเจนขึ้นอีกครั้งเมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่รัฐบาลประกาศยกเลิกการลงทะเบียนในระบบ Thailand Pass
ทำให้ UHG สามารถปรับขึ้นราคาห้องพักได้แล้วประมาณ 80% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 กล่าวคือ ถ้าก่อนโควิดขาย 2,000 บาทต่อห้องต่อคืน วันนี้สามารถขายได้ 1,600 บาทต่อห้องต่อคืนแล้ว เรียกว่าทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและเรตค่าห้องพักทยอยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
ปรับกลยุทธ์ตลอด 24 ชั่วโมง
“วุฒิพล” บอกด้วยว่า ในช่วงต้นของวิกฤตโควิด-19 นั้น ทีมบริหารโรงแรมปรับยุทธศาสตร์ (strategy) แบบปรับได้ตลอด 24 ชั่วใมง หันมาทำโฟกัสตลาดคนไทย โดยเน้นโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และขายผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นหลัก ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ฯลฯ
พร้อมทั้งปรับราคาขายลงมาต่ำกว่า 1,000 บาทต่อห้องต่อคืน ทำให้แบรนด์โรงแรม The Quarter by UHG เข้าถึงกลุ่มคนไทยได้ในเวลาอันรวดเร็ว และได้กลุ่มลูกค้าคนไทยคิดเป็นสัดส่วนถึง 90-95%
ขณะเดียวกัน ทีมบริหารได้พยายามมองหาแนวทางปรับลดต้นทุนทุกรูปแบบที่ไม่กระทบกับด้านบริหาร เพื่อพยุงให้บริษัทมีรายได้และเหลือกำไรเพียงพอสำหรับพยุงธุรกิจให้เดินต่อได้
อาทิ ปกติเตียงคิงไซซ์ต้องวางหมอน 4 ใบ ก็เอาออก 2 ใบ เหลือ 2 ใบ เพื่อลดต้นทุนการซักปลอกหมอนห้องละ 2 ใบ เอาของใช้บางอย่างที่ไม่จำเป็นออก เช่น ชุดแปรงสีฟัน รองเท้าสลิปเปอร์ ไมโครเวฟ (บางแห่งมีบริการ) ฯลฯ เปิดแอร์ในพื้นที่ล็อบบี้เพียง 30% ในช่วงเวลา 01.00-05.00 น. เป็นต้น
รวมถึงปรับโครงสร้างการบริหารด้วยการรวมหน่วยงานบางส่วนเข้าด้วยกัน เช่น แผนก HR บัญชี-การเงิน จัดซื้อ เพื่อให้มีอีโคโนมี ออฟ สเกล สามารถต่อรองราคากับซัพพลายเออร์ได้มากขึ้น
2 ปีขาดทุนเมษาฯ’63 เดือนเดียว
“วุฒิพล” บอกอีกว่า ความสำเร็จของการปรับยุทธศาสตร์บริหารตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีโจทย์หลักคือการลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ดังกล่าวนี้ ล้วนมาจากทีมบริหาร (GM) กว่า 10 คนที่ระดมไอเดียผ่านไลน์กลุ่มจีเอ็ม อะไรที่ทำแล้วสำเร็จก็แนะนำให้เพื่อนนำไปใช้
การบริหารในรูปแบบนี้เปรียบเสมือนว่า UHG มีผู้บริหารกว่า 10 คนที่มาช่วยกันคิด ช่วยกันทำงาน ทำให้มีมุมมองและไอเดียใหม่ ๆ มีรายได้และกำไรเหลือสำหรับการจ้างงาน
นี่คือปัจจัยที่ทำให้ UHG ไม่ต้องปิดบริการเหมือนโรงแรมอื่น ๆ
“ตั้งแต่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์การเดินทางเมื่อเดือนเมษายน 2563 จนถึงปัจจุบัน รวมกว่า 2 ปีที่เราอยู่ในวิกฤตโควิด เมษายน 2563 เป็นเดือนเดียวที่ UHG มีผลประกอบการติดลบ”
ผุดโมเดล “เช่าบริหาร”
“วุฒิพล” ยังบอกอีกว่า การที่ UHG ยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่ต้องปิดบริการเหมือนโรงแรมอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมานี้ ทำให้เจ้าของโรงแรมจำนวนหนึ่งสนใจและติดต่อมาให้ UHG เข้าไปบริหารให้ โดยเจ้าของโรงแรมเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำโรงแรมเป็นธุรกิจรองและจ้างเชนบริหาร
“ก่อนโควิดเจ้าของโรงแรมกลุ่มนี้ก็มีรายได้เข้ามาทุกเดือน แต่พอเจอโควิดต้องไปประคองธุรกิจหลักก่อน แต่โรงแรมก็ขาดทุนทุกวัน และยังไม่อยากขายทิ้ง จึงมาติดต่อให้เราเช่า เพราะเป็นโมเดลที่ทำให้เขามีรายได้ชัดเจนทุกเดือน ขณะที่เราก็ไม่ต้องเสียเวลาลงทุนก่อสร้างใหม่ เช่ามาบริหารต่อได้เลย เรียกว่า วิน-วิน กันทั้ง 2 ฝ่าย”
UHG จึงมีโมเดลการขยายงานในรูปแบบเช่าโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่แล้วมาบริหารอีก 1 รูปแบบ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้ทำสัญญาเข้าเช่าโรงแรมมาบริหารระยะยาว 2 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรมเดอะ ควอเตอร์ หัวลำโพง (ตรงข้ามสถานีรถไฟหัวลำโพง) จำนวน 150 ห้อง และโรงแรม Siri Sathorn Bangkok (ซอยศาลาแดง) จำนวน 167 ห้อง
จ่อเปิดโครงการใหม่ 2 แห่ง
เอ็มดีหนุ่มแห่ง UHG ให้ข้อมูลด้วยว่า ปัจจุบันกลุ่ม UHG มีโรงแรมภายใต้การบริหารทั้งหมดจำนวน 14 แห่ง รวมประมาณ 2,000 ห้อง เป็นกลุ่มที่มีจำนวนห้องมากที่สุดในกรุงเทพฯ โลเกชั่นกลางเมืองและติดรถไฟฟ้า
นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดให้บริการโครงการใหม่เพิ่มอีก 2 แห่ง รวมมูลค่าลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท ได้แก่ โรงแรม เดอะ ควอเตอร์ เจ้าพระยา จำนวน 250 ห้อง มีแผนเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2565 นี้
และโครงการสุขุมวิท ฮิลล์ สุขุมวิท 58 ประกอบด้วยโรงแรม 100 ห้อง และมีพื้นที่รีเทลและอาคารสำนักงาน ซึ่งตามแผนจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566
ถามว่าทำไม UHG ถึงกล้าลงทุนในช่วงเวลาที่คนทั่วโลกหยุดเดินทาง โรงแรมในเมืองท่องเที่ยวหลักปิดให้บริการทั้งชั่วคราวและถาวรเป็นจำนวนมาก “วุฒิพล” บอกว่า เป็นเพราะว่า UHG อยู่ในธุรกิจโรงแรมทำให้สามารถปรับตัวได้เร็ว
บวกกับจุดแข็งที่มีอยู่คือ กลยุทธ์การบริหารที่ดี ปรับตัวเร็ว และมีอีโคโนมี ออฟ สเกล ที่สำคัญเมื่อเวลาหมุนไปไวรัสโควิดก็จะหายไปด้วยเช่นกัน จึงมั่นใจว่าสามารถบริหารให้มีกำไรได้
“กรุงเทพฯ” เบอร์ 1 ของโลก
ต่อคำถามตบท้ายว่า ทำไมกลุ่ม UHG จึงเน้นลงทุนเฉพาะในกรุงเทพฯ “วุฒิพล” ตอบว่า เพราะเชื่อมั่นว่ากรุงเทพฯ คือเมืองหลวงด้านการท่องเที่ยวโลก โดยกรุงเทพฯ ติดอันดับ 1 ที่ต่างชาติเดินทางมาเยือนมากที่สุด บริการทุกอย่างมีมาตรฐานและหลากหลาย อาหารอุดมสมบูรณ์ รูปแบบการท่องเที่ยวมีความสบาย ๆ ฯลฯ ตอบโจทย์การพักผ่อนในทุก ๆ วัตถุประสงค์
นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองที่มีตลาดนักท่องเที่ยวหลากหลาย ไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง หรือหากไม่มีกลุ่มเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว ก็ยังมีกลุ่มเดินทางเพื่อธุรกิจ หรือเดินทางเพื่อมารักษาพยาบาล หรือวันใดที่ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังมีตลาดคนไทย
ที่สำคัญ UHG ให้ความสำคัญในเรื่องของ “อีโคโนมี ออฟ สเกล” กล่าวคือ มองว่าการมีจำนวนโรงแรมที่มากพออยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันนั้น ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีกว่าด้วย
พร้อมย้ำว่า วิกฤตที่ผ่านมายิ่งทำให้เชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดกรุงเทพฯ ส่วนเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต สมุย หรือพัทยา แม้ว่าจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง แต่ก็เป็นตลาดที่มีความเสียงสูงเช่นกัน เพราะเมื่อไหร่ที่นักท่องเที่ยวตลาดหลักได้รับผลกระทบ ตลาดก็จะหายไปทันที