5 ปี “เดอะ สยาม” ความภาคภูมิใจของกลุ่ม “สุโกศล”

สัมภาษณ์พิเศษ

นอกจากจะเป็นครอบครัว “นักดนตรี” แล้ว ครอบครัว “สุโกศล” ถือเป็นอีกตระกูลหนึ่งที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงธุรกิจโรงแรมมานานกว่า 40 ปี จากการเริ่มต้นลงทุน โรงแรมสยามเบย์ชอร์ (พัทยา) สุดหาดพัทยาใต้ ปัจจุบันกลุ่มสุโกศลมีโรงแรม 5 แห่ง ประกอบด้วย กรุงเทพฯ 2 แห่ง และเมืองพัทยา 3 แห่ง

โดยโครงการที่สร้างความฮือฮาและสร้างชื่อให้กับประเทศไทยอย่างมากอยู่ในขณะนี้คือ โรงแรมเดอะ สยาม ที่ถูกวางให้เป็น “ลักเซอรี่ รีสอร์ต” กลางกรุงเทพฯ แห่งแรกและแห่งเดียวที่มีพูลวิลล่า ที่พร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์” ผู้บริหารกิจการโรงแรมเดอะ สยาม (ริมแม่น้ำเจ้าพระยา) เขตดุสิต กรุงเทพฯ กลุ่มโรงแรมในเครือสุโกศล ถึงแนวคิด มุมมอง ในการบริหาร หลังจากที่เปิดให้บริการไปแล้ว 5 ปี รวมถึงทิศทางของธุรกิจในอนาคตไว้ดังนี้

“น้อย-กฤษดา” เปิดฉากเริ่มต้นสัมภาษณ์ด้วยการฉายภาพรวมให้ฟังว่า ระยะเวลา 5 ปีหลังจากเปิดให้บริการมาผ่านไปเร็วมาก นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกรู้จักแบรนด์ “เดอะ สยาม” จากการบอกต่อแบบปากต่อปาก เพราะโรงแรมแห่งนี้ไม่เคยใช้โฆษณาเลย ซึ่งเดิมทีเดียวมองว่าการสร้างโรงแรมต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองและสร้างความน่าเชื่อถือ

“เดอะ สยาม” ความท้าทายใหม่

โรงแรมแห่งนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างมากตั้งแต่เริ่มต้นก่อสร้างในทุก ๆ ด้าน กล่าวคือ 1.ทำเลที่ตั้งที่ไม่ได้อยู่ในเขตดาวน์ทาวน์ หรืออยู่ในทำเลที่นักท่องเที่ยวรู้จักคุ้นเคย แม้ว่าจะอยู่ในเขตดุสิต ซึ่งเป็นเขตเมืองเก่าก็ตาม 2.แบรนด์โรงแรม “เดอะ สยาม” ก็ไม่ได้เป็นแบรนด์ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จัก ไม่เหมือนกับโฟร์ซีซั่น แมริออท ฯลฯ

3.เป็นโรงแรมระดับ “ลักเซอรี่” มีห้งองพักรวมทั้งหมดแค่ 39 แห่ง แบ่งเป็นห้องพักแบบลักเซอรี่ 19 ห้อง และพูลวิลล่า บูติค 10 ห้อง และราคาก็ไม่ได้ถูก ๆ และ 4.เป็นโรงแรมที่ลงทุนมหาศาลราว 2,000 ล้าน (รวมที่ดิน)

“น้อย-กฤษดา” บอกว่า ทั้ง 4 ประเด็นดังกล่าวข้างต้นถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างมากสำหรับตัวเขาเองที่ต้องรับบทบาทผู้บริหารของโรงแรมแห่งนี้

สร้างโรงแรมไม่ต่างจากศิลปิน

“ผมรู้สึกว่าการสร้างโรงแรมไม่ต่างอะไรกับการเป็นศิลปิน ทำอัลบั้มเพลง หรือทำหนัง เพราะเป็นการเล่าเรื่อง มีสตอรี่ โรงแรมก็ต้องมีสตอรี่ มีการเล่าเรื่อง เพื่อทำให้โรงแรมมีความโดดเด่นและไม่เหมือนโรงแรมแห่งอื่น ต้องทำอะไรที่ลึกซึ้งกว่า มีวิญญาณมีความหมายมากกว่าคู่แข่งในตลาด”

โรงแรมเดอะ สยาม ถือเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่ง “น้อย-กฤษดา” บอกว่า เขาต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อมาดูแลและบริหารที่นี่ เรียกว่าไม่มีเวลาเขียนเพลง ไม่มีเวลาทำอัลบั้ม ไม่มีเวลาไปเล่นหนัง เพราะมองว่าการทำโรงแรมนั้นมีโอกาสแค่ครั้งเดียว ไม่เหมือนการทำอัลบั้มเพลงที่ถ้าไม่ติดก็แก้ตัวใหม่ได้ แต่สำหรับโรงแรมนั้นหากทำเลไม่เวิร์ก ไปไม่รอด อาคารมันก็จะยังอยู่บนที่ดินของเราไปตลอดกาล ดังนั้นจึงต้องทุ่มเทอย่างมาก

พิสูจน์ “บทบาทนักธุรกิจ”

โดย “น้อย-กฤษดา” ย้ำว่า การเข้ามาบริหารโรงแรมเดอะ สยามนั้น ถือเป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้เข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจของครอบครัว และที่สำคัญโปรเจ็กต์โรงแรมเดอะ สยามนั้นเป็นไอเดียของเขาที่เอง พร้อมนำศาสตร์การโรงแรมของครอบครัวมาผสมผสานกับความรักในสิ่งของโบราณของตนเอง และสร้างออกมาจากใจรัก

“น้อย-กฤษดา” บอกด้วยว่า หลังจากบริหารโรงแรมเดอะ สยาม มาครบ 5 ปี เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พบว่า โรงแรมได้รับการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวในกลุ่มลักเซอรี่จากทั่วโลกได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมากทีเดียว ทั้งในแง่ของแบรนดิ้งที่เป็นที่รู้จักของเอเย่นต์ทัวร์ และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และยังได้ลงนิตยสารเมืองนอก Travel + Leisure และได้ Top 20 โรงแรมของโลกและได้รับโหวตให้เป็น number one city hotel of the world

ขณะที่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยก็อยู่ในแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง เช่นเดียวกับตัวเลขรายได้ที่ขยับเพิ่มขึ้นทุกปี ฯลฯ

เรียกว่า งานนี้ผลงานการบริหาร “เดอะ สยาม” ได้เป็นบทพิสูจน์ตัวเองกับครอบครัวเช่นกันว่า “น้อย-กฤษดา” ไม่ใช่แค่เป็นศิลปิน แต่ยังเป็น businessman ด้วย

“ตอนนี้เดอะ สยาม มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 60-70% ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก นอกจากนี้ยังสามารถปรับขึ้นอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยได้อีกราว 1,000-1,500 บาทต่อห้องในปีนี้ เพราะแขกที่มาพักไม่เคยมีใครบ่นเรื่องราคา ซึ่งผมในฐานะผู้บริหารก็ต้องพัฒนามาตรฐานการบริการให้ดียิ่งขึ้นด้วย”

ย้ำทำธุรกิจด้วย Passion

“น้อย-กฤษดา” ยังบอกอีกว่า แม้ว่าโรงแรมแห่งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี แต่ทางครอบครัว “สุโกศล” ก็ไม่ได้มองว่าจะต้องกอบโกยรายได้จากการทำธุรกิจเยอะ ๆ เพราะการลงทุนครั้งนี้เป็น passion และเป็นความภาคภูมิใจของทุกคนในครอบครัวที่เรามีโรงแรมลักเซอรี่ และเป็นโรงแรมที่นักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมทั้งคนไทยให้การตอบรับ

“ผมบอกได้เลยว่าถ้าครอบครัวเราไม่ใช่ครอบครัวศิลปิน แต่เป็นครอบครัวนักธุรกิจเต็มตัว โรงแรมแห่งนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะไม่มีใครที่จะนำที่ดินขนาดกว่า 8 ไร่ในเมืองมาลงทุนราว 2,000 ล้านบาท ทำโรงแรมแค่ 39 ห้อง แน่นอน เพราะมันคุ้มทุนยาก”

พร้อมย้ำว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้เขาภาคภูมิใจมาก แต่สิ่งที่ถือว่าดีกว่านั้นคือ การมีพี่อีก 3 คนช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ด้วย เพราะส่วนตัวแม้จะมีพรสวรรค์เรื่องการออกแบบ ดีไซน์ ตกแต่ง แต่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องตัวเลขมากนัก

อย่างไรก็ตาม ถือว่าส่วนตัวสอบผ่านเรื่องการบริหารธุรกิจ แต่ก็ยังต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไปอีก เพราะโรงแรมเป็นธุรกิจที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง

ที่สำคัญต้องพัฒนาทั้งด้านโปรดักต์และบริการให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง…