“กรุงเทพมหานคร” 1 ใน 15 จังหวัดที่อยู่ในแผนเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ระยะที่ 1 (1-30 พฤศจิกายน 2564) ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มีแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศความเสี่ยงต่ำและฉีดวัคซีนครบโดสแบบไม่ต้องกักตัว ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา)
ตั้งคณะทำงาน 2 ชุดใหญ่
แหล่งข่าวจากหนึ่งในคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ ให้ข้อมูลกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรุงเทพมหานครเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานเพื่อเปิดประเทศในพื้นที่กรุงเทพฯ ด้วยการแต่งตั้งคณะทำงานเตรียมความพร้อมการเปิดประเทศ และคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯไปแล้ว เมื่อ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
โดยคณะทำงานเตรียมความพร้อมการเปิดประเทศ มีจำนวน 15 คน มีรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่งราชการสำนักอนามัย (พลตำรวจโท โสภณ พิสุทธิวงษ์) เป็นประธาน และมีรองปลัดกรุงเทพมหานคร สั่งราชการสำนักอนามัย และรองปลัดกรุงเทพมหานคร สั่งราชการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว เป็นรองประธาน และมีผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (นายสมบูรณ์ หอมนาน) เป็นเลขานุการ
โดยคณะทำงานชุดนี้จะกำหนดแนวทางตามมาตรการป้องกันสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และจัดทำแผนเผชิญเหตุและแผนบริหารจัดการความเสี่ยง จัดทำมาตรการแผนการตลาดและแผนการสื่อสาร รวมถึงจัดทำมาตรการแผนการสร้างความเข้าใจกับคนในพื้นที่และนอกพื้นที่
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง) เป็นประธาน และผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (นายสมบูรณ์ หอมนาน) เป็นเลขานุการ
คณะนี้ทำหน้าที่วางแผน กำหนดนโยบาย เพื่อเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว และอำนวยการ สั่งการ ข้อกำหนด ข้อปฏิบัติหรือประกาศ รวมถึงควบคุม กำกับ ดูแล สนับสนุน การบริหารจัดการการปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข เห็นชอบแผนเผชิญเหตุและแผนการบริหาร และเห็นชอบมาตรการแผนการตลาด มาตรการสร้างความเข้าใจกับประชาชน
SOP พร้อมแล้ว
นอกจากนี้ยังได้จัดทำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงาน หรือ standard operation procedure : SOP ทั้ง 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ก่อนเดินทางมาถึงประเทศไทย ผู้เดินทางต้องยื่นขอ COE หรือแพลตฟอร์มที่ทางราชการกำหนด มีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน (ตามกฎหมายของประเทศไทย) มีวีซ่าและกรมธรรม์ประกันสุขภาพครอบคลุมการรักษาโควิด และหนังสือรับรองว่าปลอดโควิดที่ออกให้ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง
ระยะที่ 2 เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ/ดอนเมือง/ระหว่างพำนักในกรุงเทพฯ กรณีจังหวัดนำร่องเพื่อการท่องเที่ยว ต้องติดตั้งแอปพลิเคชั่นตามที่ราชการกำหนด เดินทางเข้าที่พักที่ได้มาตรฐาน SHA+ ด้วยพาหนะที่ได้รับมาตรฐาน SHA+ เข้ารับการตรวจหาเชื้อ ณ โรงแรมที่พัก หรือสถานที่ที่กำหนด รอผลตรวจ หากไม่พบเชื้อ
วันต่อไปสามารถเดินทางท่องเที่ยวในกรุงเทพฯได้ ต้องพักในกรุงเทพฯ และเข้าพักในโรงแรมที่ได้จองไว้ตามที่ระบุใน SHABA จำนวน 7 คืน กรณีที่พักไม่ถึง 7 คืน ต้องเดินทางกลับด้วยพาหนะที่ได้มาตรฐาน SHA+ โดยใช้สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองเท่านั้น และตรวจ RT-PCR ตามระยะเวลาพำนัก
ส่วนกรณีเปิดประเทศ ให้ผู้เดินทางติดตั้งแอปพลิเคชั่นตามที่ราชการกำหนด เข้ารับการตรวจหาเชื้อ ณ โรงแรมที่พำนัก หรือสถานที่ที่กำหนด เดินทางเข้าที่พักที่ได้มาตรฐาน SHA+ ด้วยพาหนะที่ได้รับมาตรฐาน SHA+ จากนั้นรอผลตรวจในห้องพัก หากไม่พบเชื้อวันต่อไปสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้
และ ระยะที่ 3 ก่อนออกเดินทางออกนอกกรุงเทพฯ หรือเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทย ต้องแสดงหลักฐาน 4 อย่าง คือ หลักฐานยืนยันว่าได้พำนักในกรุงเทพฯ อย่างน้อย 7 คืน สำหรับการเข้ามาในกรณีจังหวัดนำร่องเพื่อการท่องเที่ยว หลักฐานการฉีดวัคซีนครบโดส หลักฐานการตรวจแบบ RT-PCR ในประเทศไทยครั้งล่าสุด และปฏิบัติตามมาตรฐานสาธารณสุขจากประเทศต้นทาง ปลายทาง หรือ WHO กำหนด
ธุรกิจแห่ขอมาตรฐาน SHA+
นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2564 พบว่า มีสถานประกอบการในภาคธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ผ่านมาตรฐาน SHA แล้ว จำนวน 3,307 แห่ง โดย 10 อันดับแรก ได้แก่
1.ภัตตาคารและร้านอาหาร 1,314 แห่ง
2.โรงแรม ที่พัก และโฮมสเตย์ 644 แห่ง
3.บริษัทนำเที่ยว 445 แห่ง
4.ยานพาหนะ 335 แห่ง
5.ร้านค้าของที่ระลึกและร้านค้าอื่น ๆ 180 แห่ง
6.สุขภาพและความงาม 179 แห่ง
7.ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า 85 แห่ง
8.ลานกิจกรรม/ประชุม/โรงละคร/โรงมหรสพ 65 แห่ง
9.บันเทิงและสถานที่ท่องเที่ยว 51 แห่ง
และ 10.กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 9 แห่ง
ส่วนสถานประกอบการที่สมัครขอรับมาตรฐาน SHA+ มีจำนวน 352 แห่ง โดย 10 อันดับแรก ได้แก่
1.โรงแรม ที่พัก และโฮมสเตย์ 237 แห่ง
2.ภัตตาคารและร้านอาหาร 37 แห่ง
3.ร้านค้าของที่ระลึกและร้านค้าอื่น ๆ 28 แห่ง
4.บริษัทนำเที่ยว 26 แห่ง
5.สุขภาพและความงาม 16 แห่ง
6.ยานพาหนะ 12 แห่ง
7.ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า 16 แห่ง
8.ลานจัดกิจกรรม/ประชุม/โรงละคร/โรงมหรสพ 12 แห่ง
9.บันเทิงและสถานที่ท่องเที่ยว 2 แห่ง
และ 10.กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 1 แห่ง
สำหรับจำนวนประชากรในพื้นที่กรุงเทพฯที่ได้รับวัคซีนแล้วนั้นพบว่า ข้อมูล ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2564 กรุงเทพมหานคร มีจำนวนผู้ได้รับวัคซีนเข็ม 1 จำนวน 8.09 ล้านคน หรือ 105.15% และจำนวนผู้ได้รับวัคซีนเข็ม 2 จำนวน 5.37 ล้านคน หรือ 69.77%
ประชุมใหญ่ก่อนเปิด 26 ตุลาฯ
“สมบูรณ์ หอมนาน” ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร ในฐานะเลขานุการของคณะทำงานทั้ง 2 คณะ บอกกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้คณะทำงานเตรียมความพร้อมการเปิดประเทศ และคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ นับตั้งแต่การประกาศแต่งตั้งคณะทำงาน การจัดทำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงาน หรือ SOP รวมถึงแผนเผชิญเหตุ และจัดตั้งศูนย์ Command Center โดยขณะนี้แผนงานทั้งหมดมีความคืบหน้ากว่า 70%
สำหรับในส่วนของสถานประกอบการที่จะเข้าร่วมประเมินมาตรฐาน SHA+ อาทิ โรงแรม บริษัทนำเที่ยว ยานพาหนะขนส่ง ภัตตาคารและร้านอาหาร ฯลฯ ที่ผ่านมาทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นผู้ดำเนินการหลัก เช่นเดียวกับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ ที่ทาง ททท.อยู่ระหว่างการประเมินเช่นกัน
“สมบูรณ์” ยังบอกด้วยว่า สำหรับการกำหนดวันเปิดที่แน่นอนของกรุงเทพฯ เป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยว รวมถึงแผนการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้สู่นักท่องเที่ยวตลาดเป้าหมายนั้น กรุงเทพมหานครได้นัดประชุมใหญ่ของคณะทำงานทั้ง 2 ชุดอีกครั้งในวันที่ 26 ตุลาคมนี้
พร้อมย้ำว่า ในเบื้องต้นนี้ เป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวคงไม่สำคัญเท่ากับแผนการตั้งรับที่ได้มาตรฐาน
โดยท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ (พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง) ได้ย้ำหนักแน่นว่า ถ้าจะเปิดกรุงเทพฯ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกภาคส่วนต้องพร้อม นักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้ให้บริการนักท่องเที่ยวทุกเซ็กเตอร์ และประชาชนคนในพื้นที่ต้องปลอดภัยมากที่สุด