ททท.เปิดยุทธศาสตร์ปี”61 มุ่งนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ “เมืองรอง”

ประชุมกำหนดแผนยุทธศาสตร์สำหรับปี 2561 กันไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยคาดการณ์ว่าปี 2561 นี้จะเป็นปีที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเผชิญความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะการแข่งขันจากหลายประเทศที่ให้ความสำคัญกับการทำตลาดท่องเที่ยวมากขึ้น รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน เหตุการณ์ทางการเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก

ยุทธศาสตร์ใหญ่ของ ททท.สำหรับปีหน้าจึงต้องทำงานแบบลงลึกในรายละเอียดมากขึ้นเพื่อเป้าหมายทะลุสู่มิติใหม่ ๆ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเศรษฐกิจของประเทศ

ตั้งเป้าไทยติด 1 ใน 7 ของโลก

โดยมีเป้าหมายสร้างรายได้ท่องเที่ยวปี 2561 ททท.ตั้งเป้าไว้ที่ 3.1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 2.1 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโต 5% เมื่อเทียบกับปีนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะปิดที่ 34-35 ล้านคน

โดยสถิติในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 18.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นเพียง 4.3%และมีรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2564 ที่ 4 ล้านล้านบาท หรือเติบโต 10% ต่อปี ติดอันดับรายได้สูงสุด 1 ใน 7 ของโลก จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน

ทั้งนี้ สำนักงานการท่องเที่ยวทั่วโลกมีแผนในแต่ละตลาดอย่างชัดเจนแล้ว

มุ่งจับนักท่องเที่ยวหน้าใหม่

“ศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์” รองผู้ว่าการ ด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. บอกว่า สำหรับภาพรวมตลาดภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียนั้น วางกลยุทธ์มุ่งเพิ่มนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ (เฟิรสต์ วิสิตเตอร์) ในเมืองรอง เช่น ประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งปัจจุบันมีเที่ยวบินตรงจากสายการบินราคาประหยัดและเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) ให้บริการมากขึ้น

โดย ททท.ได้ทำแคมเปญเจาะตลาดความสนใจเฉพาะ หรือ “นิชมาร์เก็ต” อาทิ นักท่องเที่ยวผู้หญิง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ ททท.เจาะมาได้ 2 ปีแล้ว โดยได้ยกให้เดือนสิงหาคมเป็นเดือนแห่งการท่องเที่ยวของผู้หญิง โดยจับมือกับพันธมิตรมอบสิทธิประโยชน์แก่นักท่องเที่ยวผู้หญิงทั่วโลกผ่านช่องทางแอปพลิเคชั่น Women”s Journey นอกจากนี้ยังมีแอปพลิเคชั่น “Family Fun” เพื่อเจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวอาเซียนด้วย

ขณะที่ตลาดคู่แต่งงานและฮันนีมูน จะรุกขยายตลาดที่มีศักยภาพอยู่แล้วอย่าง อินเดีย ซึ่งปีที่แล้วมีคู่แต่งงานเดินทางมาจัดงานที่ไทยถึง 400 คู่ ส่วนจีนเองก็เริ่มสนใจจัดงานแต่งงานในต่างประเทศมากขึ้น

ฟากตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหรือเมดิคอล แอนด์ เวลเนส กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนมีการขยายตัวมากในตลาดนี้ และอีกตลาดคือการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ที่นอกเหนือจากกอล์ฟแล้ว จะเน้นโปรโมตกีฬาใหม่ ๆ เพื่อเจาะคนรุ่นใหม่ เช่น มวยไทย การปั่นจักรยาน วิ่งมาราธอน เป็นต้น

บุกหนักตลาดจีนรายเซ็กเมนต์

ขณะที่ “บังอรรัตน์ ชินะประยูร” ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานปักกิ่ง ประเทศจีน บอกว่า นอกเหนือจากการเข้าไปเจาะตลาดใหม่อย่างเมืองรองในจีนแล้ว ททท.ยังได้วางกลยุทธ์แบ่งเซ็กเมนต์สินค้าท่องเที่ยวเพื่อเจาะความต้องการชาวจีนออกเป็น 6 สินค้าหลักในปีหน้าประกอบด้วย ฮันนีมูน กีฬา สินค้าระดับลักเซอรี่ แฟมิลี่ การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (แกสโตรโนมี่ ทัวริสซึ่ม) และ เมดิคอล ทัวริสซึ่ม ซึ่งตลาดหลังกำลังเติบโตในจีนอย่างมาก และมีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่องในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

เล็งเจาะกลุ่ม “ไมซ์” อินเดีย

ด้าน “อิศรา สถาปนเศรษฐ์” ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานนิวเดลี อินเดีย เสริมว่า ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมาไทย 1.19 ล้านคน จากยอดคนอินเดียเดินทางไปทั่วโลกกว่า 22.30 ล้านคน และคาดว่าในปี 2020 จะมีแนวโน้มไปเที่ยวต่างประเทศสูงถึง 50 ล้านคน โดยหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพคือกลุ่มที่เดินทางเพื่อประชุมสัมมนา (ไมซ์)

ปัจจุบันไทยมีส่วนแบ่งในกลุ่มนักเดินทางไมซ์อินเดียอยู่ 10% นอกจากนี้ ยังมีตลาดแต่งงาน การถ่ายทำภาพยนตร์บอลลีวูด และกลุ่มผู้หญิงอินเดีย

ชี้ยุโรปมีแชร์ด้านรายได้ที่ 38%

ส่วนตลาดยุโรปนั้น “ภัทรพร สิทธิวนิช” ผู้อำนวยการภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง บอกว่า ในภาพรวมของปี 2559 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามารวม 32.5 ล้านคน

สำหรับตลาดระยะไกลนั้นยังคงมีอัตราการเติบโตในทุก ๆ ตลาด ประกอบด้วยยุโรป 6 ล้านคน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 9.71% อเมริกา 1.34 ล้านคน เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น 14.77% ตะวันออกกลาง 8.21 แสนคน เพิ่มขึ้น 13.97% และตลาดแอฟริกา 1.72 แสนคน เพิ่มขึ้น 4.89% รวมแล้วประมาณ 8.34 ล้านคน มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 26%

ในส่วนของรายได้รวมตลาดต่างประเทศมีมูลค่ารวม 1,628,808 ล้านบาท ตลาดยุโรปมีรายได้ 437,815 ล้านบาท เติบโต 10.77% อเมริกา 99,887 ล้านบาท เติบโต 22.39% ตะวันออกกลาง 62,478 ล้านบาท เติบโต 21.60% และแอฟริกา 11,932 ล้านบาท เติบโต 10.39% รวมทั้งหมดประมาณ 612,112 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 38%

โฟกัสตลาด “กลาง-บน”

โดยตลาดที่มีรายได้สูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วยรัสเซีย มูลค่า 79,956 ล้านบาท ตามด้วยสหราชอาณาจักร 76,402 ล้านบาท อเมริกา 67,074 ล้านบาท เยอรมนี 55,088 ล้านบาท และฝรั่งเศส 46,829 ล้านบาท โดยตลาดนักท่องเที่ยวที่มีอัตราการใช้จ่ายต่อทริปสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย เดนมาร์ก ตามด้วย คูเวต แคนาดา อิสราเอล และซาอุดีอาระเบีย

สำหรับกลยุทธ์หลักในปี 2561 นี้ ททท.จะทำการปรับโครงสร้างนักท่องเที่ยวสู่ตลาดกลางและบน โดยมองรายได้รวมที่ 20,000 เหรียญสหรัฐต่อปี

จ่อเปิด สนง. “แคนาดา-บราซิล” 

โดยหลักการทำงานจะเน้น 3 ส่วนหลัก คือ แอเรีย เบส เซ็กเมนเตชั่น และโปรดักต์ โดยในส่วนแอเรียเบสนั้นจะยังคงรักษาตลาดหลัก และไปจับเมืองรองที่มีรายได้สูงเพิ่มขึ้น อาทิ ตลาดสหราชอาณาจักร จะบุกไปที่แมนเชสเตอร์ นิวคาสเซิล เป็นต้น รัสเซีย ก็จะบุกเมืองรอบ ๆ มอสโก ตลาดอเมริกาตะวันออก จะบุกไปที่ซีแอตเทิล แวนคูเวอร์ อเมริกาตะวันออก จะบุกไปที่ชิคาโก และวอชิงตัน เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีแผนเจาะตลาดพื้นที่ใหม่ เช่น สำนักงานปราก จะบุกไปเปิดตลาดที่โปแลนด์, เช็ก และฮังการี ตลาดซีไอเอส จะบุกคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน

สำหรับตลาดทางอเมริกา จะเน้นที่แคนาดา ซึ่งในปีนี้ ททท.มีแผนจะเปิดสำนักงานที่กรุงโตรอนโต ส่วนละตินอเมริกา ตลาดบราซิลเป็นตลาดสำคัญ ซึ่ง ททท.ก็มีแผนเปิดสำนักงานที่เมืองเซาท์เปาโลเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ ผู้อำนวยการภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง ย้ำว่า จะเน้นไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ หรือเฟิรสต์ วิสิตเตอร์ และนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฮันนีมูนเวดดิ้ง รวมถึงเฮลท์แอนด์เวลเนส