ค่าเหยียบแผ่นดิน 1 เม.ย. นี้ ต่างชาติโดนคนละ 300 บาท

นักท่องเที่ยว

กระทรวงท่องเที่ยว ยัน 1 เม.ย. 65 ดีเดย์เก็บค่าเหยียบแผ่นดินนักท่องเที่ยวต่างชาติ 300 บาท/ราย คาดได้เงินเก็บเข้ากองทุน 1.5 พันล้าน โฆษกรัฐเสริมเงินที่ได้เอาไปพัฒนาที่เที่ยว-ทำประกันภัยให้นักท่องเที่ยว

วันที่ 12 มกราคม 2565 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 เมษายน 2565 ประเทศไทยจะเริ่มเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยคนละ 300 บาท หรือเรียกกันว่าค่าเหยียบแผ่นดิน เบื้องต้นประเมินว่า หากปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามา 5 ล้านคน จะสามารถจัดเก็บเงินได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท

โดยจะนำเงินก้อนนี้ไปใส่ไว้ในกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติ ซึ่งตั้งขึ้นตามพ.ร.บ. นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ 2562 ฉบับปรับปรุง และเมื่อได้เก็บมาแล้วสำนักปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะรับผิดชอบดูแลนำไปพัฒนาภารกิจเร่งด่วนที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว

“จำนวนเงินที่เก็บจากนักท่องเที่ยวคนละ 300 บาทนั้น จะดึงออกมา 50 บาทเพื่อนำไปซื้อประกันภัยสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งในปีแรกอาจจะเหลือเงินใส่เข้าไปในกองทุนนี้ 1,250 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะการสร้างทางขึ้นลงสำหรับคนพิการในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และการสร้างห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยวให้เหมือนห้องน้ำของญี่ปุ่นที่สะอาดและดีมาก ซึ่งจะต้องให้ท้องถิ่นเข้ามาร่วมลงทุนตรงนี้เพื่อให้บริหารและดูแลต่อเนื่อง”

นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า การจัดเก็บเงินเข้าประเทศจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนละ 300 บาท เดิมกำหนดไว้ว่าจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 แต่ต้องเลื่อนออกไป เพราะมีการหารือกับทางสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ถึงปัญหาเรื่องการจัดเก็บเงินที่ที่ทางไออาต้า ระบุว่าต้องจัดเก็บกับทุกคนทั้งคนไทยและต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ซึ่งการเก็บเงินคนไทยด้วยนั้นขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทย

ดังนั้น จึงเปลี่ยนมาประสานทางสายการบินให้จัดเก็บเงินนี้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้นแทน โดยจะคิดรวมอยู่กับราคาตั๋วเครื่องบินเลย ซึ่งกระทรวงคมนาคมกำลังเจรจากับสายการบินเกือบครบทุกสายการบินแล้ว คาดว่าในเดือนมีนาคม 2565 จะเสร็จสิ้น ขณะที่การเดินทางเข้าประเทศไทยทางบกจะมีการพัฒนาแอพพลิเคชันขึ้นมาให้นักท่องเที่ยวจ่ายเงินก่อนเดินทางเข้ามาและให้แสดงหลักฐานก่อนเข้าประเทศว่าได้จ่ายเงินแล้ว

ส่วนข้อเสนอของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้จัดเก็บเพิ่มอีก 200 บาท รวมเป็นคนละ 500 บาท เพื่อนำเงินไปดำเนินการปรับโครงสร้างท่องเที่ยวนั้น ได้หารือกับ ททท.แล้วว่า เรื่องนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยนเรศวร ที่กระทรวงให้ดำเนินการเรื่องนี้ ระบุว่า 300 บาทต่อคน เป็นอัตราที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ททท. สามารถเสนอโครงการมาขอใช้เงินในกองทุนนี้ได้เช่นกันทั้งนี้ การจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดินนี้ หลายประเทศได้มีการจัดเก็บเกือบหมดแล้ว ทั้งในยุโรป ญี่ปุ่น มาเลเซีย โดยส่วนใหญ่จะรวมอยู่ในราคาตั๋วเครื่องบิน หรือราคาห้องพัก

เงินเอาไปพัฒนา-ทำประกัน

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ค่าเหยียบแผ่นดินที่จะเรียกเก็บจากนักท่องเที่ยว เพื่อนำเงินที่ได้รับไปพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในไทย และทำประกันให้แก่นักท่องเที่ยว กรณีประสบอุบัติเหตุ หรือเสียชีวิต ก็จะได้รับวงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท หรือ ค่ารักษาพยาบาล ได้รับสูงสุด 500,000 บาท

โดยปีนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ คาดว่าไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ราว 1.3-1.8 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการท่องเที่ยวชาวต่างชาติเที่ยวไทย อยู่ที่ระหว่าง 5-15 ล้านคน สร้างรายได้ราว 800,000 ล้านบาท โดยประเมินว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเหมือนปกติทั่วไป หากมีนักท่องเที่ยวจากยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ไทยน่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 5 ล้านคน ถ้ามีอินเดียเพิ่มเข้ามา ก็จะได้ถึง 7 ล้านคน และหากจีนเปิดให้คนออกนอกประเทศได้ หลังกลางปีนี้ไปแล้ว ก็น่าจะมีประมาณ 9 ล้านคน

นอกจากนี้ หากมีการเปิดชายแดนให้เที่ยวได้ ซึ่งจะมี เมียนมา ลาว มาเลเซีย ซึ่งน่าจะได้ถึง 15 ล้านคน ส่วนการเดินทางเที่ยวในประเทศ คาดว่าจะอยู่ที่ 160 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ราว 700,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ภาครัฐยังเดินหน้าโครงการกระตุ้นไทยเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้แม้จะมีโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แต่การคาดการณ์ท่องเที่ยวในปี 2565 จะยังคงยืนเป้าหมายนี้ไว้อยู่เพื่อเป็นเป้าหมายสำหรับการทำงานต่อไป

“แม้จะมีการแพร่ระบาดของโอมิครอน แต่ล่าสุดหลายประเทศในแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ก็ได้เลิกล็อกดาวน์ เพราะได้รับการฉีดวัคซีน และแม้โอมิครอนจะแพร่กระจายเชื้อเร็ว แต่ความรุนแรงของอาการน้อยกว่าเดลต้า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานติดตามประเมินสถานการณ์ทั้งภายในประเทศ และศึกษากรณีของต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนเดินหน้าฟื้นประเทศภายใต้การรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจและสาธารณสุขต่อไป”