นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ เผยผลตรวจสารเสพติด หลังเกิดกรณีคลิปปาร์ตี้ฉาวหลุด
วันที่ 23 สิงหาคม 2565 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ผลการตรวจหาสารเสพติดของ “ซันนา มารีน” นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ แสดงผลเป็นลบ หรือไม่พบสารเสพติด หลังจากได้เข้ารับการตรวจหาสารเสพติดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง ภายหลังที่คลิปขณะที่เธอกำลังสังสรรค์อย่างสนุกสุดเหวี่ยงกับเพื่อนฝูงและเหล่าคนดังหลุดออกมาบนโซเชียลมีเดีย จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
คณะทำงานของนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ ออกแถลงการณ์พร้อมแนบผลตรวจจากแพทย์ที่ยืนยันแล้วว่าไม่พบสารเสพติดในร่างกายของมารีน ประกอบกับที่ “ลิดา วัลลิน” ที่ปรึกษาพิเศษของนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า มารีนเข้ารับการตรวจหาสารเสพติดอย่างครอบคลุม ผ่านการเก็บตัวอย่างปัสสาวะเพื่อที่จะหาสารผิดกฎหมาย อาทิ โคเคน แอมเฟตามีน กัญชา และสารกลุ่มโอปิออยด์ ซึ่งทางรัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงการตรวจในครั้งนี้ได้
จุดเริ่มต้นเหตุคลิปฉาวสะเทือนความเชื่อมั่นนายกฯฟินแลนด์
การตรวจหาสารเสพติดครั้งนี้ เริ่มต้นจากกรณีคลิปขณะที่นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์กำลังสังสรรค์กับเพื่อนและเหล่าเซเลบริตี้ของฟินแลนด์ หลุดเผยแพร่ทางสื่อโซเชียล จนนำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และเกิดการตั้งคำถามว่า เธอใช้สารเสพติดหรือไม่ ? กระทั่งสมาชิกพรรคฝ่ายค้านเรียกร้องให้เธอตรวจหาสารเสพติดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2565 มารีนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า การสังสรรค์นี้เป็นการใช้เวลาร่วมกับเพื่อน ๆ และภาพวิดีโอดังกล่าวก็ถูกถ่ายในพื้นที่ส่วนบุคคล อีกทั้งเธอก็ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และไม่มีกำหนดการประชุมใด ๆ ในขณะนั้น
รวมทั้งแถลงว่าได้ตรวจหาสารเสพติดเป็นที่เรียบร้อย และย้ำว่าไม่เคยใช้สารเสพติด กระทั่งวันนี้ที่ผลการตรวจหาสารเสพติดของเธออกมาแล้วว่าไม่พบสารเสพติดแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้มารีนเคยตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากกรณีการสังสรรค์ในที่พักของทางการเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2564 โดยขณะนั้นได้มีการเปิดเผยว่ามารีนสังสรรค์โต้รุ่ง แม้ว่าจะเพิ่งได้รับเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้ผลสำรวจที่จัดทำโดยสถานีโทรทัศน์ เอ็มทีวี 3 ชี้ว่า ประชาชนกว่า 2 ใน 3 เห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็น “ความผิดพลาดร้ายแรง”