สี จิ้นผิง เปิดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ใช้เวลากล่าวถ้อยแถลงน้อยกว่าเมื่อห้าปีก่อน แต่เอ่ยคำว่าความมั่นคงมากกว่าเดิม และได้เสียงปรบมือกราวใหญ่ในประเด็นไต้หวัน ว่าจะไม่ทิ้งหนทางใช้กำลังทหาร
วันที่ 16 ตุลาคม 2565 พรรคคอมมิวนิสต์จีน จัดการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งชาติ ครั้งที่ 20 ที่มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง มีวาระสำคัญที่นาย สี จิ้นผิง วัย 69 ปี จะต่อวาระการเป็นผู้นำสูงสุดต่อไปอีกเป็นสมัยที่สาม จากที่ไม่เคยมีใครได้โอกาสนี้มาก่อน ผงาดเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดนับจากประธาน เหมา เจ๋อตุง
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
สำนักข่าว รอยเตอร์ รายงานจับประเด็นสำคัญที่ สี จิ้นผิง กล่าวเปิดการประชุมครั้งนี้ ที่มีผู้แทน 2,300 คนเข้าร่วม ได้แก่ นโยบายควบคุมการระบาดของโควิดอย่างเด็ดขาด ให้การแพร่ระบาดเป็นศูนย์ หรือ Zero-Covid ไปจนถึงการแก้ไขปัญหาไต้หวัน ที่ไม่ปฏิเสธการใช้กำลัง
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการกระตุ้นจำนวนประชากรเกิดใหม่ การปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และกระตุ้นวิถีชีวิต รักษาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาความมั่นคงและความปลอดภัยทางสาธารณะ การศึกษาที่มีเนื้อหาเน้นความรักชาติ
นายสีกล่าวถึงช่วง 5 ปีที่ผ่านมาว่า เป็นช่วงเวลาไม่ธรรมดาและผิดปกติอย่างสุดขั้ว พร้อมกล่าวปลุกใจให้ทุกคนเข้มแข็ง ตั้งแต่การคิดด้วยใจที่แข็งแกร่ง และเตรียมรับอันตราย ทั้งในช่วงเวลาสันติ ทั้งวันที่ฝนกระหน่ำ พร้อมเผชิญคลื่นลมแห่งความท้าทาย
รอยเตอร์จับสังเกตได้ว่า ครั้งนี้นายสีเอ่ยคำว่าความมั่นคง หรือความปลอดภัย ทั้งหมด 73 ครั้ง เมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อนเมื่อปี 2560 (ค.ศ. 2017) เอ่ย 55 ครั้ง ทั้งที่ครั้งก่อนกล่าวเปิดประชุมยาวนานถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนครั้งนี้กล่าวไม่ถึง 2 ชั่วโมง
ส่วนคำว่า “ปฏิรูป” ครั้งนี้เอ่ยเพียง 16 ครั้ง เทียบกับเมื่อ 5 ปีก่อน เอ่ยถึง 70 ครั้ง ขณะที่มีคำว่าเสริมสร้างศักยภาพด้านความมั่นคง ที่ระบุถึงความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน การปรับปรุงยกระดับรับมือกับภัยพิบัติ และคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
เสียงปรบมือกราวใหญ่ที่สุดในการประชุมครั้งนี้ มาจากการเอ่ยถึงท่าทีที่ต่อต้านการแยกตัวเป็นอิสระของไต้หวัน
ไม่ละทิ้งการใช้กำลัง กรณีไต้หวัน
นายสียกตัวอย่างการเข้าควบคุมฮ่องกงให้พ้นจากความวุ่นวายไปสู่การบริหารแบบธรรมาภิบาล ว่าจะเป็นตัวอย่างสำหรับไต้หวัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประชาชนจีนจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ซึ่งจีนไม่ปฏิเสธสิทธิที่จะใช้กำลังทหาร แต่จะพยายามหาทางออกอย่างสันติ
สำนักข่าว ซินหัว รายงานถอดความถ้อยแถลงของสี จิ้นผิง ไว้ดังนี้
“การแก้ไขปัญหาไต้หวันเป็นเรื่องสำคัญของชาวจีน และจะต้องแก้ไขโดยชาวจีนเอง”
“เราจะยังคงมุ่งมั่นดำเนินการรวมชาติอย่างสันติด้วยความจริงใจและความพยายามอย่างที่สุด แต่เราจะไม่รับรองว่าจะละทิ้งการใช้กองกำลัง โดยเราสงวนตัวเลือกในการดำเนินมาตรการอันจำเป็นทั้งหมด”
“สิ่งนี้มุ่งตรงไปที่การแทรกแซงจากกองกำลังภายนอก และขบวนการแบ่งแยกดินแดนบางส่วนที่แสวงหา ‘เอกราชไต้หวัน’ และกิจกรรมการแบ่งแยกดินแดนเท่านั้น มิได้มุ่งหมายที่เพื่อนร่วมชาติชาวไต้หวัน”
วงล้อแห่งประวัติศาสตร์หมุนวนสู่การรวมชาติและการฟื้นฟูชาติจีน โดยการรวมชาติต้องสำเร็จลุล่วง ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นจริงโดยไม่ต้องมีข้อสงสัย
“เราเคารพและห่วงใยเพื่อนร่วมชาติชาวไต้หวัน และทำงานเพื่อมอบผลประโยชน์แก่พวกเขาเสมอมา เราจะยังคงสนับสนุนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมข้ามช่องแคบต่อไป”
“เราจะกระตุ้นประชาชนบนทั้งสองฟากฝั่งช่องแคบ ทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมจีนและสร้างสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น”
ป้องนโยบายโควิดมาถูกทาง
สำหรับนโยบายซีโร่โควิดที่ถูกวิจารณ์มากจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงเกิดการประท้วงในกรุงปักกิ่งที่หาได้ยากมาก เมื่อวันที่ 13 ต.ค. เนื่องจากเป็นนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างหนัก
ผู้นำสียังคงกล่าวปกป้องนโยบายนี้ว่า เป็นสงครามของประชาชนทั้งมวล ที่จะหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนี้ ว่าทำให้เกิดผลใหญ่ทางบวกที่ช่วยปกป้องคุ้มครองประชาชน รวมถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม
ในส่วนประเด็นเศรษฐกิจ ผู้นำสีกล่าวสนับสนุนภาคเอกชน และการปล่อยให้ตลาดมีบทบาท และว่าจีนจะใช้ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยม พร้อมกับการรณรงค์สร้างเสริมความมั่งคั่ง
“เราจะต้องสร้างระบบเศรษฐกิจการตลาดสังคมนิยมขั้นสูงอย่างแน่วแน่ และพัฒนาระบบที่สาธารณชนเป็นเจ้าของ สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจเอกชน มีบทบาทสำคัญอย่างเฉียบคมในตลาดและการจัดสรรปันส่วนทรัพยากร ทั้งเอื้อต่อการแสดงบทบาทของรัฐบาลที่ดีขึ้น” นายสีกล่าว
…..