ฟอร์บส เปิด 5 เทรนด์ใหญ่โลกธุรกิจ

เทรนด์ใหญ่โลก

ปี 2022 ที่ผ่านมา ทุกคนต้องเผชิญกับความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ซ้ำเติมความยากลำบากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่จบสิ้น ส่งผลภาวะเงินเฟ้อพุ่งทะยานเป็นประวัติการณ์

ผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ยังไม่ลดลงในปี 2023 นี้ ธุรกิจต่าง ๆ ยังต้องรับมือกับผลพวงที่ตามมาจากโรคระบาด การรุกรานยูเครนของรัสเซีย และความท้าทายทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็วขึ้น

นิตยสาร “ฟอร์บส” ได้รวบรวม 5 เทรนด์ใหญ่ในปี 2023 ที่มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการทำงานของผู้คนตลอดปีนี้

1.การเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม

ปี 2023 เทรนด์สำคัญอันดับแรกที่โลกธุรกิจจะต้องเผชิญคือ การเร่งตัวของการทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่โลกดิจิทัลอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตออฟติงส์ (IoT) ความจริงเสมือนและความจริงเสริม (VR/AR) คลาวด์คอมพิวติ้ง บล็อกเชน และเครือข่ายความเร็วสูงอย่าง 5G

เทคโนโลยีแห่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะถูกนำไปประยุกต์ใช้ร่วมกันในภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบไฮบริด หรือการทำงานจากระยะไกล ทั้งจะเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจทางธุรกิจมากขึ้น งานประมวลผลที่มีความซับซ้อนสูง งานประจำ จนถึงงานสร้างสรรค์

สิ่งเหล่านี้ทำให้เข้าใกล้จุดที่จะสามารถสร้าง “องค์กรอัจฉริยะ” ที่ระบบและกระบวนการสนับสนุนเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ดังนั้น ธุรกิจต้องแน่ใจว่าได้ฝังเทคโนโลยีที่เหมาะสมไว้ตลอดกระบวนการและในทุกส่วนของการดำเนินงาน

ถึงจุดนี้ภาคธุรกิจแทบจะไม่มีข้อแก้ตัวที่จะไม่เข้าใจว่า AI และเทคโนโลยีอื่น ๆ จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของตนเองอย่างไร เพราะเทคโนโลยีจะเข้ามาอยู่ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การขายและการตลาด การเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจลูกค้า รวมถึงการเข้าถึงซัพพลายเชน และการผลิต

ขณะที่ปัจจุบันอุปสรรคในการเข้าถึงเทคโนโลยีก็ลดน้อยลงมาก เพราะมีบริการในรูปแบบ “as-a-service” ผ่านระบบคลาวด์ ปี 2023 บริษัทต่าง ๆ จึงต้องเร่งปรับตัวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล หากไม่อยากให้ธุรกิจของตนตกขบวน

2.เงินเฟ้อและปัญหาซัพพลายเชน

ภาวะเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะอยู่กับเราไปอีกยาวนานในปี 2023 พร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรืออาจถึงขั้นถดถอย ขณะที่หลายอุตสาหกรรมยังประสบปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน หรือ “ซัพพลายเชน” ต่อเนื่อง นับแต่สถานการณ์ระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ทั้งโลก “ชัตดาวน์” กระทบการผลิต การขนส่งหยุดชะงัก และซ้ำเติมด้วยวิกฤตยูเครน ที่ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้น

ในการต่อสู้กับสิ่งนี้ บริษัทต่าง ๆ ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดที่ผันผวน รวมถึงการบริหารจัดการกับปัญหาการขาดแคลนสินค้าและต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้น

สำหรับปี 2023 ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและซัพพลายเชนจะยังคงยู่ การสร้างความยืดหยุ่นของซัพพลายเชนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทต่าง ๆ เช่น การจัดหาซัพพลายเชนทางเลือก หรือสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองให้ได้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านซัพพลายจากปัญหาของผู้ผลิตต้นทาง และราคาวัตถุดิบที่ผันผวนจากภาวะเงินเฟ้อ

3.โลกตื่นตัวกับ Sustainability

ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และสร้างความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งที่เคยประสบในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งอาจบดบังความท้าทายที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด

ทำให้โลกตื่นตัวในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “ความยั่งยืน” (Sustainability)

ทั้งภาครัฐและนักลงทุนต่างต้องการให้ภาคธุรกิจมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่เทรนด์การซื้อสินค้าก็กำลังถูกขับเคลื่อนโดยผู้บริโภคทั่วโลกที่ใส่ใจถึงเรื่องระบบนิเวศและความยั่งยืนมากขึ้น

ปี 2023 ภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และกำหนดเป็นหัวใจของกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ

โดยต้องเริ่มต้นจากการประเมินผลกระทบที่ธุรกิจมีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง และการสร้างความโปร่งใสผ่านการรายงานอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงการมีเป้าหมายและกรอบเวลาที่ชัดเจนในการลดผลกระทบ

และไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญภายในบริษัทของตนเอง แต่ต้องคำนึงถึงการดำเนินการทางธุรกิจตลอดทั้งซัพพลายเชน เพราะสิ่งเหล่านี้จะมีความสำคัญต่อการตัดสินใจของนักลงทุน จะทำธุรกิจร่วมกันหรือไม่ หรือกระทั่งการตัดสินใจของผู้บริโภคว่าจะซื้อสินค้าแบรนด์นี้หรือไม่

4.ประสบการณ์ลูกค้าเหนือสิ่งอื่นใด

ปี 2023 ความสำคัญของการสร้าง “ประสบการณ์” ของลูกค้าเหนือสิ่งอื่นใด แต่ไม่ได้หมายความว่าราคาและคุณภาพจะไม่สำคัญ โดยที่ผ่านมาความสามารถของพนักงานมีความสำคัญต่อการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น การให้คำแนะนำ การจัดการปัญหา และการบริการหลังการขาย

แต่ในปีนี้ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับผู้บริโภค โดยคำหลักในปีนี้คือ “การดื่มด่ำ” และ “การโต้ตอบ” อย่างที่เริ่มเห็นในโลก “เมตาเวิร์ส” เทคโนโลยี 3 มิติ และ VR-AR ทำให้ลูกค้าสามารถลองสวมใส่เสื้อผ้า เครื่องประดับ แบบเสมือนจริงได้อย่างง่ายดาย ทั้งสามารถโต้ตอบกับแบรนด์และผู้บริโภคอื่น ๆ ได้ เหล่านี้เป็นการสร้างประสบการณ์ของผู้บริโภคที่จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงสินค้าและบริการได้มากขึ้น

เทรนด์การสร้างประสบการณ์นั้นแข็งแกร่งมาก จนปัจจุบันแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มมีตำแหน่งงานใหม่ที่เรียกว่า Chief Experience Officers (CXO)

5.ความท้าทายดึงดูด-ยกระดับทักษะ “คน”

ปีที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวใหญ่ของกลุ่มคนทำงาน ที่เรียกว่าการ “ลาออกครั้งใหญ่” โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความสามารถ หรือที่เรียกว่า “ทาเลนต์”

โดยเฉพาะคนที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีที่เป็นที่ต้องการมากขึ้น ซึ่งได้สร้างแรงกดดันต่อนายจ้างในปี 2023 ที่จะต้องพยายามสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานดึงดูด และวัฒนธรรมองค์กรที่ดี รวมถึงรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นและเอื้อต่อการเรียนรู้และการเติบโตจะได้เปรียบในการดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีทักษะสูงไว้ได้

นอกจากนี้ แนวโน้มการเร่งตัวขึ้นของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลนำไปสู่ระบบอัตโนมัติในที่ทำงานมากขึ้น มนุษย์จะต้องแบ่งปันงานกับเครื่องจักรอัจฉริยะและหุ่นยนต์อัจฉริยะมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องเร่งพัฒนาทักษะใหม่และการยกระดับทักษะให้กับคนจำนวนมากในการทำงานกับเครื่องจักรอัจฉริยะ

รวมถึงการพัฒนาทักษะที่เทคโนโลยียังไม่สามารถทำได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิพากษ์ การสื่อสารระหว่างบุคคล ความเป็นผู้นำ หรือกระทั่งการทำงานเชิงมนุษยธรรม เช่น ความห่วงใยและความเห็นอกเห็นใจ ยังเป็นทักษะสำคัญของพนักงานที่ยังคงเป็นที่ต้องการของภาคธุรกิจในปี 2023