ส่องเทรนด์ “หุ้น-ทอง-กองทุน” วางแผนจัดพอร์ตลงทุนปีกระต่าย

ลงทุน

เริ่มต้นศักราชใหม่ปีกระต่าย ท่ามกลางความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุน ในทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นเพื่อปราบเงินเฟ้อ พร้อมความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย นักลงทุนควรวางแผนการลงทุนอย่างไร “ประชาชาติธุรกิจ” ฉบับนี้ได้สัมภาษณ์พิเศษ 3 ผู้เชี่ยวชาญมาฉายภาพแนวโน้มการลงทุนปี 2566 ประกอบด้วย นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด, นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง และ ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด

ตลาดหุ้นโลกสู้ดอกเบี้ยขาขึ้น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มการลงทุนทั่วโลกปี 2566 คงเป็นปีที่ลำบาก เพราะต้องเผชิญผลการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลายประเทศมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นต้องใช้ความระมัดระวังสูง

“ภาพเงินเฟ้อที่คาดว่าจะปรับลงจากระดับ 8-10% ของแต่ละประเทศสู่กรอบเป้าหมาย 2-3% ยังทำได้ยาก หากเงินเฟ้อยังสูงแบงก์ชาติทั่วโลกก็ยังไม่สามารถปรับลดดอกเบี้ยลงได้”

ไพบูลย์ นลินทรางกูร
ไพบูลย์ นลินทรางกูร

อย่างไรก็ดี สภาพคล่องในตลาดที่สูง จากการอัดฉีดมาตรการ QE ใน 2 ปีที่ผ่านมา โดยสหรัฐอัดฉีดเพิ่มเท่าตัวเป็น 4 ล้านล้านเหรียญ ปัจจุบันทยอยปรับลดเดือนละ 9.5 หมื่นเหรียญ ต้องใช้เวลาอีก 3-4 ปีกว่า QE จะลดลงหมด

“โฟลว์ก็จะไหลไปหาตลาดหุ้นที่ยังทำผลงานได้ดี เช่น ตลาดหุ้นไทย, ตลาดหุ้นจีน บางตลาดในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (EM) ส่วนตลาดหุ้นที่ไม่ดีแน่ ๆ คืออเมริกาและยุโรป”

เลือกตั้งหนุน “หุ้นไทย” ขาขึ้น

นายไพบูลย์ยืนยันว่า ปี 2566 ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เศรษฐกิจจะขยายตัวสูงกว่าปีที่ผ่านมา จากภาคท่องเที่ยวที่กลับมา สอดคล้องกับที่จีนเปิดประเทศส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจ ประกอบกับทิศทางค่าเงินบาทแข็งค่า นักลงทุนยิ่งชอบได้ประโยชน์สองเด้ง ขณะที่เงินเฟ้อไทยถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลได้ดี ไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยแรง จึงไม่กระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก ทั้งมีเงินทุนสำรองอยู่ค่อนข้างมาก

นอกจากนี้ยังมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่แข็งแรง โดยกำไร บจ.ปี 2566 คาดว่ายังเติบโตได้ดี และสุดท้ายปัจจัยการเมือง ในช่วง 4-5 เดือนแรกของปีเป็นบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งโดยครึ่งปีหลังทุก ๆ นโยบายก็จะมี honeymoon period ซึ่งนโยบายส่วนใหญ่คงเน้นเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจ หนุนบรรยากาศตลาดอิงในเชิงบวกได้

บล.ทิสโก้ มองเป้าดัชนี SET Index ปี 2566 ไว้ที่ 1,750 จุด โดยตลาดหุ้นไทยจะกลับสู่ขาขึ้นได้ แต่อาจไม่แรงมากจากสภาพแวดล้อมของตลาดหุ้นโลกที่ไม่ค่อยดี แต่เชื่อว่าผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย จะกลับไปเป็นบวกได้ จากติดลบในปี 2565

ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อเนื่อง

ซีอีโอ บล.ทิสโก้ มองว่าแนวโน้มฟันด์โฟลว์คงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง จากปี 2565 เข้ามากว่า 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เงินทุนต่างชาติเข้ามาก้อนใหญ่ระดับนี้ สูงสุดในรอบ 15 ปี เพราะสถานการณ์ทั่วโลกยังไม่ปลอดภัย แต่ไทยค่อนข้างเป็น safe haven ประกอบกับฟันด์โฟลว์ไม่ได้ไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยนานแล้ว

“หุ้นในกลุ่ม reopening จะได้ประโยชน์ เช่น หุ้นท่องเที่ยวในประเทศ, การบริโภคในประเทศ และการลงทุนในประเทศ ส่วนหุ้นส่งออกไม่น่าจะโตตามภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว”

ส่วนปัจจัยลบภายในประเทศของตลาดหุ้นก็คงเป็นเรื่องการเก็บภาษีจากการขายหุ้น (financial transaction tax) ที่อาจกระทบสภาพคล่องในตลาด แต่ก็หวังว่าในช่วงสั้น จะกระทบไม่มาก เพราะนักลงทุนอาจจะไม่มีตลาดให้เลือกลงทุนมาก แต่ในระยะยาวจะกระทบสภาพคล่องตลาดหุ้นไทยแน่นอน

3 ธีม “กองทุน” ปีกระต่าย

ขณะที่ ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การลงทุนปี 2566 มองเป็น 3 ธีมหลัก ๆ คือ 1.จากภาพเศรษฐกิจสหรัฐที่อาจชะลอตัว และการที่เศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นพร้อมกันในปีเดียว ค่อนข้างยาก ดังนั้นกลุ่มที่น่าสนใจ คือกองทุนหุ้น small cap หรือหุ้นขนาดเล็กทั่วโลก เนื่องจากปีที่ผ่านมากลุ่มนี้ถูกกดดันลงไปมากแล้ว ปีนี้จึงน่าจะเป็นปีที่กลับมาฟื้นตัวได้ดี

2.จากอัตราเงินเฟ้อที่ขึ้นมาอยู่ในระดับสูงมากแล้ว แนะนำให้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในกลุ่ม emerging market หรือตลาดเกิดใหม่ มีโอกาสที่จะทำผลงานได้ดี เนื่องจากมองว่าปีนี้เงินดอลลาร์ไม่น่าจะกลับไปแข็งค่ามาก เท่าปีที่ผ่านมา

3.ปี 2566 จะยังเป็นปีของการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมัน ที่ผ่านมาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นสูงจากประเด็นสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน แต่ก็ไปชะงักจากความต้องการที่ลดลง ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลงมา มองว่าปี 2566 กลุ่มนี้จะกลับมาจากการที่ประเทศจีนเปิดประเทศ จะส่งผลให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์เร่งตัวขึ้น

สำหรับทองคำซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มของสินค้าโภคภัณฑ์ ก็น่าสนใจ คาดว่าจะได้รับผลบวกจากที่เฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงแล้ว

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

แนะจัดพอร์ตลงทุน 40 : 60

“ปี 2566 เรามองบวก โอกาสที่จะติดลบแรง ๆ เท่ากับปีที่ผ่านมาแทบไม่มีแล้ว ถ้าจะติดลบก็ให้ดาวน์ไซด์เต็มที่ -5% ส่วนในกรณีเลวร้ายจริง ๆ จะติดลบไม่เกิน -10% แต่เชื่อว่าทิศทางจะค่อย ๆ ทยอยฟื้นตัวไปในแนวทางที่ดีขึ้น”

ดร.จิติพลกล่าวด้วยว่า การจัดพอร์ตลงทุนในปีนี้ แนะนำให้แบ่งสัดส่วนพอร์ต เป็น 40 : 60 โดยใน 40% แรกแบ่งลงทุนในตราสารหนี้ไทย 10% ลงทุนในตราสารหนี้กลุ่มตลาดเกิดใหม่ 10% และอีก 20% ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐที่ให้ผลตอบแทนสูง ส่วนอีก 60% แนะนำลงทุนหุ้น โดยแบ่งลงทุนในหุ้นไทย 10% อีก 20% ในหุ้นขนาดเล็กทั่วโลก อีก 10-20% ลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์

เศรษฐกิจถดถอยหนุน “ทอง” ขาขึ้น

สำหรับเทรนด์ลงทุน “ทองคำ” นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง ผู้ค้าทองรายใหญ่ของประเทศกล่าวว่า ปี 2566 จะเป็นปีที่ดี หลังจากปีที่ผ่านมา ทองคำเผชิญปัจจัยลบต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย จะเป็นปัจจัยบวกโดยตรงกับราคาทองคำ

“ถ้าปีนี้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ เพราะส่วนใหญ่เมื่อสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยเยอะและสูง จะตามมาด้วยเรื่องของเศรษฐกิจถดถอย ก็จะพยายามทำซอฟต์แลนดิ้งให้ดี ถ้าเศรษฐกิจเริ่มถดถอย ธนาคารกลางสหรัฐต้องทำนโยบายย้อนกลับ เริ่มลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจจะมีเม็ดเงินเพิ่มเข้ามาเพื่อให้กระตุ้นในเรื่องของการลงทุนด้วย”

ธนรัชต์ พสวงศ์
ธนรัชต์ พสวงศ์

นายธนรัชต์ให้มุมมองว่า ปี 2566 ทองคำน่าจะเป็นขาขึ้น ในกรอบราคาประมาณ 1,700-1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศ ฮั่วเซ่งเฮงให้กรอบไว้ที่ 28,000-30,500 บาทต่อบาททองคำ เพราะหลังเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ทำให้ปีนี้มีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นทำให้ราคาทองคำในประเทศถูกกดดันเล็กน้อย

“ปีนี้ราคาทองกรอบล่างไม่น่าจะลงไปถึงจุดต่ำเดิมที่ 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยที่ราคาบริเวณ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือเป็นโอกาสทยอยเข้าซื้อสะสมระยะยาว รอบนี้มองว่าราคาใกล้ bottom มากที่สุดแล้ว ถ้าแตะแนวต้านที่ 1,900 ดอลลาร์ ก็เป็นจังหวะขายสักครึ่งหนึ่งทำกำไรอีกครึ่งหนึ่งเก็บเป็นต้นทุนที่จะไปต่อ ผมว่าทองคำยังมีโอกาสให้ทำกำไรเข้าออกได้ 10-20 ปีข้างหน้า ตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดี ที่จะสะสมในระยะยาว”