เมื่อ “อินโดนีเซีย” ขึ้นแท่น เดสติเนชั่นของผู้ผลิตอีวีทั่วโลก

อินโดนีเซีย

ขณะที่ประเทศไทย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นดีทรอยด์แห่งเอเชีย ในยุคของการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์สันดาป (น้ำมัน) แต่วันนี้เมื่อทิศทางของโลกกำลังพยายามหันหลังให้กับเชื้อเพลิงฟอสซิล ก้าวสู่พลังงานสะอาด ไปมุ่งเน้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี)

ส่งผลให้ทิศทางการลงทุนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่เหมือนเดิม เพราะหัวใจของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็คือ “แบตเตอรี่” ขณะที่ “อินโดนีเซีย” กำลังกลายเป็นประเทศที่มีความสำคัญในซัพพลายเชนของการผลิตอีวีของโลก

ทั้งนี้ อินโดฯ ในฐานะประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศที่จะเป็นฐานผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 13 ล้านคัน และรถยนต์ ไฟฟ้า 2.2 ล้านคัน ภายในปี 2030

จุดแข็งสำคัญของประเทศอินโดนีเซีย คือมีแหล่งนิกเกิลธรรมชาติคิดเป็น 52% ของแหล่งแร่นิกเกิลทั่วโลก ซึ่งทำให้อินโดนีเซียเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของผู้ผลิตอีวีทั่วโลก เพราะมีสินทรัพย์สำคัญที่เป็นห่วงโซ่อุปทานการผลิตแบตเตอรี่

โดยช่วงปี 2022 บริษัทหนิงโป คอนเทมโพรารี บรันพี ไลเจนด์ จำกัด (CBL) ในเครือ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน ได้ลงนามความร่วมมือกับยักษ์ใหญ่ของอินโดฯ ในโครงการร่วมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอินโดนีเซีย รวมถึงการทำเหมืองและการแปรรูปนิกเกิล วัสดุแบตเตอรี่อีวี จนถึงการรีไซเคิลแบตเตอรี่

รวมถึงล่าสุดที่ “เทสลา” ก็ใกล้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการจัดตั้งโรงงานที่อินโดนีเซีย

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก U.S. Geological Survey พบว่าปริมาณแร่นิกเกิลทั่วโลกอยู่ที่เกือบ 95 ล้านเมตริกตัน โดยแหล่งแร่ธาตุก็กระจุกตัวกันอยู่ไม่กี่ประเทศ และหนึ่งในประเทศที่มีแร่นิกเกิลมากที่สุดก็คือ “อินโดนีเซีย”

globaldata คาดการณ์ว่า ในปี 2022 การผลิตนิกเกิลทั่วโลกอยู่ที่ 2.87 ล้านเมตริกตัน เพิ่มขึ้น 6.8% จากปี 2021 โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2022 อินโดนีเซียผลิตนิกเกิลคิดเป็นสัดส่วน 47% ของการผลิตนิกเกิลทั่วโลก

ขณะที่คาดการณ์ว่าตลาดนิกเกิลทั่วโลกจะมีมูลค่าถึง 591,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2028 จากปี 2021 มูลค่าตลาดอยู่ที่ 362,700 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นผลพวงจากที่ตลาดรถอีวีมีการเติบโตก้าวกระโดด

รายงานจาก “เวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม” ระบุว่า รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศนโยบายมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยมลพิษเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2060 หรือเร็วกว่านั้น และหนึ่งในการไปสู่เป้าหมายนี้คือ การใช้พลังงานไฟฟ้าในภาคเดินทาง

โดยภาคการขนส่งคิดเป็น 40% ของการใช้พลังงานทั้งหมด และสร้างมลพิษ PM 2.5 ให้กับประเทศ 13% นโยบายการส่งเสริมการผลิต EV ในอินโดนีเซียจะช่วยลดการปล่อยมลพิษ ลดการนำเข้าน้ำมัน และลดภาระเงินอุดหนุน อีกทั้งทำให้เมืองสะอาดขึ้น

การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้รถ EV กลายเป็นส่วนสำคัญของวาระแห่งชาติของอินโดนีเซีย ที่กำหนดโดยแผนแม่บทแห่งชาติสำหรับอุตสาหกรรม (RIPIN) พ.ศ. 2015-2038 การผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามีความสำคัญทางอุตสาหกรรมเป็นอันดับต้น ๆ เช่นเดียวกับการพัฒนาแผนโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุน

โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพราะอินโดนีเซียถือเป็นประเทศที่มีการใช้รถมอเตอร์ไซค์มากถึงประมาณ 115 ล้านคัน เทียบกับรถยนต์ 16 ล้านคัน รัฐบาลจึงมีแผนอุดหนุนเพื่อส่งเสริมการผลิตและการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามูลค่า 6.5 ล้านรูเปียห์ในปี 2023

นี่คือเส้นทางของ “อินโดนีเซีย” ที่เป็นผู้ผลิตแร่นิกเกิลรายใหญ่ที่สุดในโลกและแร่ธาตุอื่น ๆ ที่สำคัญอีกหลายตัวที่ทำให้กลายเป็นประเทศจุดหมายปลายทางของผู้ผลิตอีวีทั่วโลก