เมื่อ “ชิป” ล้นตลาด กดกำไร “ซัมซุง” ต่ำสุดในรอบ 14 ปี

เมื่อ ‘ชิป’ ล้นตลาด

แม้ว่า “ชิป” หรือเซมิคอนดักเตอร์เป็นสินค้าสำคัญระดับยุทธศาสตร์ ที่ประเทศต่าง ๆ กำลังสนับสนุนให้มีการพัฒนาและผลิตชิปในประเทศของตนเอง เพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในอนาคต แต่ถ้าพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน อุตสาหกรรมชิปกำลังลำบาก เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ซบเซาทั่วโลกมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงตอนนี้

เมื่อสินค้าปลายน้ำขายไม่ดี บริษัทผู้ผลิตชิปย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง รวมถึงภาพรวมการส่งออกของประเทศผู้ผลิตก็แย่ตามไปด้วย

เกาหลีใต้ประเทศผู้ผลิตชิปอันดับต้น ๆ ของโลก มีการรายงานปริมาณชิปค้างสต๊อกมาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยเมื่อต้นปีมีรายงานว่าปริมาณชิปคงคลังของทั้งประเทศเกาหลีใต้ในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นเร็วสุดในรอบเกือบ 27 ปี

ล่าสุดตัวเลขของเดือนเมษายนก็เผยว่า ปริมาณชิปคงคลังเพิ่มขึ้นถึง 83% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 7 ปี ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกชิปของเกาหลีใต้ลดลง 33% และกำลังการผลิตของโรงงานลดลง 20% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว สะเทือนไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งรัฐบาลกำลังพิจารณาปรับลดคาดการณ์การเติบโตของจีดีพี

กิจกรรมการผลิต การส่งออก และสินค้าคงคลังในอุตสาหกรรมชิปเกาหลีใต้นั้นเป็นมาตรวัดสำคัญของความต้องการซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก เนื่องจากเกาหลีใต้เป็นที่ตั้งของบริษัทชิปรายใหญ่ของโลกสองบริษัทคือ “ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์” (Samsung Elecctronics) และ “เอสเค ไฮนิกซ์” (SK Hynix) ซึ่งการผลิตชิปของเกาหลีใต้ส่วนใหญ่เป็นชิปหน่วยความจำที่ใช้ในสมาร์ทโฟน แล็ปทอป กล้องดิจิทัล ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งตลาดใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่ประเทศจีน

ความซบเซาของยอดขายชิปและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้ ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่ที่สุดในโลก มีกำไรน้อยลงอย่างมาก

วันที่ 7 กรกฎาคม ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ (Samsung Electronics) รายงานว่าผลกำไรไตรมาส 2 ปี 2023 มีแนวโน้มลดลง 96% เหลือ 600,000 ล้านวอน (ประมาณ 16,200 ล้านบาท) เนื่องจากปริมาณการผลิตชิปล้นเกินดีมานด์ในตลาดไปมาก ทำให้ธุรกิจชิป ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทขาดทุน แม้ว่าในไตรมาส 2 ได้ปรับลดการผลิตลงแล้วก็ตาม 

กำไรในไตรมาส 2 นี้ เป็นกำไรรายไตรมาสที่ต่ำที่สุดของซัมซุง นับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2009 ที่มีกำไร 590,000 ล้านวอน 

ผลประกอบการที่ซัมซุงเปิดเผยนั้นใกล้เคียงกับที่ทีมนักวิเคราะห์ของบริษัทให้บริการด้านการเงินและจัดการความเสี่ยง รีฟินิทีฟ (Refinitiv) คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า กำไรของซัมซุงในไตรมาส 2 ปีนี้จะลดลง 96% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ลงมาอยู่ที่ 555,000 ล้านวอน (ประมาณ 14,850 ล้านบาท) ซึ่งจะเป็นกำไรที่ต่ำที่สุดของซัมซุงในรอบ 14 ปี นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2008 ที่ขาดทุน 740,000 ล้านวอน

รีฟินิทีฟบอกว่า หน่วยธุรกิจชิปซึ่งปกติเป็นหน่วยธุรกิจที่ทำรายได้มากที่สุดของซัมซุง ถูกคาดการณ์ว่าในไตรมาส 2 ปีนี้ขาดทุนประมาณ 3 ล้านล้านวอนถึง 4 ล้านล้านวอน (81,000 ล้านบาท ถึง 108,000 ล้านบาท) เนื่องจากราคาขายชิปหน่วยความจำลดลง ทำให้รายได้จากการขายน้อยลง และมูลค่าสินค้าคงคลังก็ลดลงตามไปด้วย

ราคาของชิปหน่วยความจำ DRAM ซึ่งใช้กันแพร่หลายในสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และเซิร์ฟเวอร์ ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ราคาลดลงประมาณ 13-18% เนื่องจากบริษัทซื้อชิป ยุติการสั่งซื้อชิปใหม่เพิ่ม เพื่อใช้สินค้าที่คงค้างให้หมดก่อน อย่างไรก็ตาม ราคาชิปในไตรมาส 2 ลดลงในอัตราที่ช้ากว่าในไตรมาสแรก เนื่องจากซัมซุงและบริษัทผู้ผลิตชิปหน่วยความจำได้ปรับลดการผลิตลง

นักวิเคราะห์คาดว่าราคาชิปจะลดลงแตะจุดต่ำสุดในประมาณไตรมาส 3 นี้ ส่วนการฟื้นตัวของดีมานด์และราคานั้น คาดว่าปีนี้จะไม่ฟื้นตัวขึ้นมากนัก ถ้าจะเห็นการฟื้นตัวจริง ๆ ก็ต้องรอจนปีหน้า

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันจะอยู่ในช่วงขาลงของธุรกิจชิป แต่ซัมซุงก็มองไปยังอนาคต และกำลังพยายามจะเพิ่มส่วนแบ่งการขายชิปในตลาดฝั่งผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังขยายตัวตามเทรนด์ใหม่ของโลก