
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ราคาอ้างอิงของน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับราคาสูงที่สุดในรอบ 10 เดือน หรือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วเรื่อยมา โดยราคาน้ำมันดิบชนิดเบรนต์อยู่ที่ 95.34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนดับเบิลยูทีไอ อยู่ที่ 93.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แม้ราคาจะอ่อนตัวลงมาอยู่บ้าง แต่ก็ยังเคลื่อนไหวแคบ ๆ อยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับดังกล่าว ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า โลกมาถึงยุคน้ำมันแพงหูฉี่อีกแล้วหรืออย่างไร
- จับตาธุรกิจเลิกจ้าง ปิดกิจการ ส่งออกสะดุด-บริษัทยักษ์ย้ายฐาน
- เปิดลงทะเบียนแก้หนี้ 1 ธ.ค.นี้ เครดิตบูโรห่วงกู้ซื้อ “รถ-บ้าน” ค้างจ่ายพุ่ง
- เช็กเงื่อนไขกู้ “ออมสิน” ปลดหนี้นอกระบบ คุณสมบัติผู้กู้ต้องมีอะไรบ้าง ?
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขยับสูงขึ้นมาตลอด นับตั้งแต่กลุ่มประเทศผู้ผลิตรายสำคัญของโลกที่รวมตัวกันเรียกตัวเองว่า โอเปกพลัส ประกาศลดกำลังการผลิตลง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วซาอุดีอาระเบียเป็นผู้รับผิดชอบในการดึงเอาปริมาณน้ำมัน 1 ล้านบาร์เรลต่อวันออกจากตลาด ต่อด้วยการประกาศห้ามการส่งออกเชื้อเพลิงของรัสเซียในเวลาต่อมา
โดยภาพรวมแล้วราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นราว 10% นับตั้งแต่ต้นเดือนนี้เป็นต้นมา เมื่อโอเปกพลัส ประกาศขยายการปรับลดการผลิตออกไปจนถึงสิ้นปี
นักวิเคราะห์ชี้ว่า มีเหตุผลหลายอย่างที่ประกอบกันขึ้นเป็นเหตุปัจจัยทำให้ราคาน้ำมันดิบขยับสูงขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่ปัญหาวิบัติภัยธรรมชาติ อย่างเฮอริเคน หรือพายุโซนร้อน เรื่อยไปจนถึงภาวะอากาศร้อนจัดผิดปกติในบริเวณซีกโลกตอนเหนือ ซึ่งไม่เพียงทำให้ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นเท่านั้น ยังเป็นสาเหตุให้การผลิตพลังงานลดลงพร้อมกันไปด้วย
แต่ เคลย์ ซีเกิล ผู้อำนวยการแผนกน้ำมันโลกของแรปิแดน เอเนอร์ยี กรุ๊ป ในสหรัฐอเมริกา ระบุว่า สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งเป็นเพราะ “จีน” ซึ่งแม้จะมีปัญหาเศรษฐกิจ แต่ก็ยังคงนำเข้าน้ำมันดิบในอัตราสูงอย่างยิ่ง เพราะต้องการรักษาระดับอุตสาหกรรมการผลิตเอาไว้และนำไปใช้ในการคมนาคมขนส่งภายในประเทศ
ราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง ทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาตัดสินใจชะลอการสั่งซื้อน้ำมันเข้าสู่ “คลังปิโตรเลียมสำรองเชิงยุทธศาสตร์” ซึ่งบริหารจัดการโดยกระทรวงพลังงานออกไป ผลที่ได้ก็คือ คลังน้ำมันสำรองของสหรัฐอเมริกาลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
น้ำมันขายปลีกในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น จนถึงระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีไปเรียบร้อยแล้ว
แม้จะมีเหตุปัจจัยหลากหลาย แต่เราสามารถกล่าวโดยรวม ๆ ได้ว่า การที่ราคาน้ำมันดิบทรงตัวอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ เป็นเพราะความต้องการใช้น้ำมันมีมากขึ้น ในขณะที่ปริมาณน้ำมันในตลาดกลับถูกจำกัดจำนวนลง
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) เตือนเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า ความต้องการน้ำมันของโลกได้เพิ่มสูงขึ้น จนถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมิถุนายน ที่ 102.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และจะยังคงสูงอยู่เช่นนั้นไปตลอดเดือนสิงหาคม พร้อมกับชี้ว่าราคาน้ำมันจะขยับสูงขึ้นไปตลอดจนถึงสิ้นปี
ระดับความต้องการน้ำมันของโลกที่ว่านั้น เป็นระดับสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และเปรียบเทียบแล้วสูงขึ้นกว่าระดับความต้องการใช้น้ำมันของปี 2022 ที่ผ่านมามากถึง 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ข้อที่น่าวิตกมากขึ้นไปอีกก็คือ ผู้สันทัดกรณีในแวดวงน้ำมันโลกคาดการณ์ว่า ระดับราคาน้ำมันดิบไม่เพียงไม่มีแนวโน้มจะลดลง ตราบเท่าที่โอเปกพลัส ยังไม่เลิกการจำกัดการผลิตเท่านั้น แต่ยังจะเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
โกลด์แมน แซกส์ ออกมาปรับประมาณการราคาน้ำมันดิบระยะ 12 เดือนของตน ที่เคยคาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มเป็นราว 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
โดยราคาน้ำมันดิบจะขยับทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลตั้งแต่ต้นปี 2024 เป็นไปตามเป้าหมายของโอเปกพลัสที่ต้องการให้ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 80-105 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีหน้า
โกลด์แมน แซกส์ ชี้ว่า ราคาน้ำมันดิบในปีหน้าอาจขยับสูงถึง 107 ดอลลาร์ได้ในปี 2024 ถ้าโอเปกพลัสยังไม่ยอมเลิกนโยบายจำกัดการผลิตดังกล่าว
และแม้จะไม่เชื่อว่า โอเปกพลัสจะดันราคาให้อยู่ในระดับ 105-107 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้นาน แต่โกลด์แมน แซกส์ ก็เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบก็จะไม่ลดระดับลงมาต่ำกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลต่อเนื่องกันนาน ๆ เช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน “คริสเตียน มาเล็ค” หัวหน้าทีมวิจัยพลังงานของเจพี มอร์แกน ไม่เพียงแสดงความเห็นพ้องกับแนวโน้มดังกล่าวเท่านั้น ยังเตือนด้วยว่า ในปี 2024 ราคาน้ำมันน่าจะอยู่ระหว่าง 90-110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และจะยิ่งแพงขึ้นต่อเนื่องในปี 2025
และหากนโยบายของโอเปกพลัสยังไม่เปลี่ยนแปลง ก็เป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันดิบโลกในปี 2026 จะแพงระยับถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เพราะแรงกดดันจากการพยายามเลิกใช้น้ำมันและเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้ไม่มีใครกล้าลงทุนใหม่ ๆ เพื่อผลิตน้ำมันอีกต่อไปแล้ว
มาเล็คเชื่อว่า ถึงตอนนั้นน้ำมันดิบโลกจะเข้าสู่ภาวะ “ซูเปอร์ไซเคิล” แบบเต็มตัว โดยที่ราคามีแต่แพงกับแพงมากเท่านั้น