บริษัทน้ำมันสหรัฐแห่ควบรวมทะลุแสนล้านเหรียญ ขยายการผลิตรับดีมานด์แกร่ง

US-ENERGY-OIL-CHEVRON
โรงกลั่นน้ำมันของเชฟรอน ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ (ภาพโดย Patrick T. FALLON / AFP)

ในห้วงการประชุม COP28 ที่เพิ่งผ่านมา โฆษกของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (G77) วิจารณ์กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งนำโดยสหรัฐอย่างรุนแรงว่า “หน้าซื่อใจคด” แสร้งทำเป็นผลักดันการเลิกใช้พลังงานฟอสซิล แต่ขณะเดียวกันก็วางแผนที่จะขยายการผลิตของตนเอง

คำกล่าวหานี้ไม่ใช่คำกล่าวหาลอย ๆ เพราะมีข้อมูลที่เผยแนวโน้มว่า ในช่วงหลายปีนับจากนี้ โลกของเราจะยังคงต้องการใช้น้ำมันปริมาณมาก และบริษัทน้ำมันสหรัฐเป็นแถวหน้าของการขยายการผลิตเพื่อตอบสนองดีมานด์นั้น แม้ว่า COP28 ได้บรรลุข้อตกลงเรียกร้องการเปลี่ยนผ่านพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดก็ตาม

“อินไซเดอร์” (Insider) รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า การควบรวมกิจการมูลค่ากว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐในภาคอุตสาหกรรมน้ำมันและพลังงานในปีนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของการผลิตน้ำมันของสหรัฐ ชี้ให้เห็นถึงดีมานด์น้ำมันที่แข็งแกร่งในอีกหลายปีข้างหน้า

แนวโน้มที่เกิดขึ้นนี้บ่งชี้ว่าอุตสาหกรรมน้ำมันไม่ได้กังวลกับการที่ดีมานด์น้ำมันไม่ได้อยู่ในจุดพีกแล้ว พร้อมกับคาดการณ์ว่า ตลาดน้ำมันจะยังคงเป็นตลาดที่แข็งแกร่งต่อไปอีกหลายปี

อินไซเดอร์อ้างอิงรายงานของบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาธุรกิจ “วู้ด แมคเคนซี” (Wood Mackenzie) จากสหราชอาณาจักรซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมระบุว่า ในปี 2023 นี้ ข้อตกลงการควบรวมกิจการของบริษัทน้ำมันที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในแหล่งน้ำมันเพอร์เมียน (Permian Basin) มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แค่สองดีลยักษ์ “เอ็กซอน โมบิล” (Exxon Mobil) เข้าควบรวมกิจการ “ไพโอเนียร์ เนเชอรัล รีซอร์สเซส” (Pioneer Natural Resources) บริษัทสำรวจและขุดเจาะน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในแหล่งเพอร์เมียน มูลค่า 59,500 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ “เชฟรอน” (Chevron) เข้าซื้อกิจการ “เฮสส์” (Hess) มูลค่า 53,000 ล้านดอลลาร์ รวมเป็นมูลค่าทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว และยังมีดีลที่ “เพอร์เมียน รีซอร์สเซส” (Permian Resources) เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ “เอิร์ธสโตน เอเนอร์จี” (Earthstone Energy) อีก 4,500 ล้านดอลลาร์

“แมตต์ สมิธ” (Matt Smith) หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดน้ำมันประจำทวีปอเมริกาของ “เคปเลอร์” (Kpler) บริษัทให้บริการข้อมูลเชิงลึกของตลาดพลังงานกล่าวว่า ดีมานด์น้ำมันคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่เหลือของทศวรรษนี้ ดังนั้น การควบรวมกิจการของบริษัทน้ำมันในสหรัฐจึงเป็นแนวทางที่ได้ผลมากขึ้นในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาด เพื่อเป็นการลดต้นทุนและการประหยัดจากการผลิตปริมาณมาก

“เจสส์ โจนส์” (Jesse Jones) หัวหน้าฝ่ายข้อมูลการผลิตน้ำมันดิบในอเมริกาเหนือของบริษัทให้บริการข้อมูล “เอนเนอร์จี แอสเพกต์ส” (Energy Aspects) กล่าวว่า การควบรวมกิจการอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมการขุดเจาะน้ำมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเขาบอกว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การผลิตน้ำมันของบริษัทเอกชนเพิ่มขึ้นเร็วกว่าบริษัทมหาชน และการผลิตน้ำมันของสหรัฐก็มากเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ ในปีนี้ สหรัฐมีกำลังการผลิตน้ำมันเฉลี่ย 13 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยเพิ่มการผลิตแตะ 13.2 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อเดือนกันยายน และนักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่า สหรัฐจะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีกในปี 2024

“จิม มิตเชลล์” (Jim Mitchell) หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดน้ำมันในอเมริกาของ “รีฟินิทีฟ (Refinitiv) กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของการทำข้อตกลงซื้อขาย-ควบรวมกิจการ หมายความว่า บริษัทต่าง ๆ คาดหวังว่าน้ำมันจะเป็นแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงหลักของโลกต่อไปอีกเป็นเวลานาน และบริษัทในสหรัฐก็กำลังเติบโตในอัตราที่ทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันในสเกลที่ใหญ่ขึ้นได้

ในมุมมองของมิตเชลล์ การควบรวมและซื้อกิจการมีแนวโน้มจะน้อยลงในปีหน้า แต่ตลาดน้ำมันจะยังคงแข็งแกร่งต่อไป