“มู้ด” นักลงทุนต่างชาติต่ออินเดีย คึกคักสุด ๆ-ตรงข้ามกับจีน

INDIA-STOCKS-MARKETS-HONG KONG-CHINA
A man walks past a digital display inside the Bombay Stock Exchange (BSE) building in Mumbai on January 23, 2024. India's stock market has edged out Hong Kong to become the world's fourth-largest, a milestone that underscores growing global investor optimism about New Delhi's economic prospects, Bloomberg said on January 23. (Photo by Indranil MUKHERJEE / AFP)
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ

อินเดียกำลังเป็นที่กล่าวถึงอย่างอื้ออึง ในฐานะทางเลือกสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพจะมาทดแทนจีน หลังจากจีนและสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่และงัดมาตรการกีดกันการค้าตอบโต้กันมาหลายปี จนทำให้นักลงทุนลดน้ำหนักและขนาดการลงทุนในจีน รวมทั้งย้ายฐานการลงทุนไปที่อื่น

รายงานของซีเอ็นเอ็นระบุว่า การพัฒนาของอินเดียภายใต้รัฐบาลของนายนเรนทรา โมดี เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้อินเดียมีความน่าสนใจ อย่างเช่น การยกระดับของโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้นจนน่าตะลึง อย่างที่ “พียุส มิตตัล” ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอ แมตธิว เอเชีย ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการลงทุนในซานฟรานซิสโก เห็นด้วยตาตัวเอง

มิตตัลบอกว่า เมื่อ 30 ปีที่แล้วเขาขับรถเป็นระยะทาง 185 ไมล์ (ประมาณ 296 กิโลเมตร) จากนิวเดลีไปเมืองชัยปุระบ่อย ๆ ซึ่งใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง แม้ว่าจะมีการขยายทางหลวงจากหนึ่งเลนเป็นสองเลน และจากสองเลนเป็นสามเลน แต่ก็ยังใช้เวลา 6 ชั่วโมงอยู่ดี แต่เมื่อปีที่แล้ว ทางด่วนใหม่ถูกสร้างขึ้น เขาใช้เวลาขับเพียง 3 ชั่วโมง

“ผมอ้าปากค้างเลย ว้าว เป็นไปได้ยังไง ที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในอินเดีย ถ้า 30 ปีที่แล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขับเพียง 3 ชั่วโมงสำหรับเส้นทางนี้”

นอกจากคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้นแล้ว บรรดามืออาชีพด้านการเงินทั่วโลกกำลังสังเกตเห็นการพัฒนาด้านการเงินมาตั้งแต่ปี 2014 ภายใต้รัฐบาลของนายนเรนทรา โมดี ที่ดำรงตำแหน่งมา 2 สมัย และตื่นเต้นกับเป้าหมายของนายกฯ อินเดียที่เคยกล่าวไว้ว่า ต้องการให้เศรษฐกิจอินเดียมีขนาด 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2025

มุมมองทางบวกของนักลงทุนทั่วโลกที่มีต่ออินเดีย ตรงข้ามอย่างชัดเจนกับอารมณ์ในจีนที่กำลังเผชิญปัญหาหลายด้าน รวมถึงเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติที่ไหลออกจากจีน ส่วนมูลค่าตลาดหุ้นหายไปมากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์

แต่ตลาดหุ้นอินเดียกลับทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ มูลค่าบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินเดียเกิน 4 ล้านล้านดอลลาร์ไปแล้วเมื่อปลายปี 2023 และแนวโน้มในอนาคตยิ่งสดใสกว่าเดิม โดยคาดว่าภายในปี 2030 มูลค่าตลาดหุ้นอินเดียจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวไปอยู่ที่ 10 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่นักลงทุนขนาดใหญ่ทั่วโลกจะเมินเฉย

อาทิตยา ซูเรส หัวหน้าฝ่ายวิจัยหุ้นอินเดียของแมคควอริ แคปิตอล ชี้ว่าดัชนี MSCI ที่มีการทบทวนใหม่ล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมีมุมมองที่คึกคักต่อตลาดหุ้นอินเดีย โดย MSCI เตรียมจะเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นอินเดียจาก 17.98% เป็น 18.06% เทียบกับ 2 ปีก่อนหน้านี้ที่ตลาดหุ้นอินเดียมีน้ำหนักเพียง 7% ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ และในความเห็นของตนน่าจะขยับขึ้นไปอีกถึง 25%

อย่างไรก็ตาม ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะมีการเลือกตั้งอินเดีย ซึ่งบรรดาผู้สังเกตการณ์ตลาดต่างหวังว่า หากโมดีชนะเป็นสมัยที่ 3 ด้วยเสียงข้างมาก จะทำให้สามารถคาดหมายนโยบายเศรษฐกิจในระยะ 5 ปีได้ จะยิ่งทำให้นักลงทุนสนใจอินเดียมากขึ้น เพราะเห็นการเติบโตที่ยั่งยืน

“อินเดีย” จะกลายเป็นเครื่องยนต์ตัวต่อไปในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโต 6.5% ในปีงบการเงินถัดไปของอินเดีย (2024-2025) เทียบกับจีนซึ่งขยายตัวเพียง 4.6% จะทำให้อินเดียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกภายในปี 2027

ฮูเบิร์ต เด บาโรเชซ นักเศรษฐศาสตร์ตลาด แห่งแคปิตอล อีโคโนมิกส์ ชี้ว่า อินเดียเป็นผู้ท้าชิงเบอร์ต้น ๆ ที่จะได้ประโยชน์จากการที่บริษัทต่างชาติย้ายการลงทุนไปยังประเทศที่เป็นมิตร หรือ Friend-Shoring โดยเห็นชัดว่าผู้สูญเสียคือจีน

แต่ก็มีคำถามว่า อินเดียควรค่าแก่การตื่นเต้นมากขนาดนั้นหรือไม่ เพราะขณะที่เศรษฐกิจอินเดียกำลังผงาดขึ้นมา ราคาหุ้นที่สูงก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติบางคนถอยหนี ราคาหุ้นอินเดียแพงมาโดยตลอดเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่ด้วยกัน แต่ถึงอย่างนั้นในมุมมองของนักวิเคราะห์เห็นว่า แม้จะแพงแต่ราคาหุ้นอินเดียก็ยังขึ้นไปได้อีก เพราะนักลงทุนในประเทศทั้งรายย่อยและสถาบันไม่กังวลแม้ราคาสูง การที่ตลาดหุ้นอินเดียขับเคลื่อนโดยนักลงทุนภายในประเทศ ทำให้อินเดียมีความแข็งแกร่ง ช่วยลดการพึ่งพาเงินทุนต่างประเทศ ช่วยเป็นเกราะปกป้องอินเดียจากความผันผวนของโลกภายนอกได้มาก

ขณะที่ตลาดหุ้นจีนนั้น ถึงแม้ขณะนี้ราคาถูก แต่นักลงทุนสถาบันจากต่างประเทศยังคงระแวงความเสี่ยงทางการเมือง รวมทั้งการที่ต่างชาติมักถูกบุกค้นและควบคุมตัว ยังไม่รวมถึงความขัดแย้งทางการเมือง การค้ากับสหรัฐอเมริกา ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่มีความแน่นอน ทำให้นักลงทุนไม่กล้าซื้อหุ้นกลับแม้ราคาถูก