
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ
บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น น่าตื่นตาตื่นใจ และถูกพูดถึงอย่างมากในแวดวงนักลงทุนแห่งวอลล์สตรีท เพราะเชื่อว่ามันคือเทคโนโลยีที่จะสร้างผลกำไรมากขึ้นให้กับบริษัทต่าง ๆ ในอนาคต และถึงกับตั้งความหวังกันว่า AI จะเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมาก สร้างวัฏจักรใหม่ให้กับเศรษฐกิจ
ความหวังและความเห่อใน AI ส่งผลให้หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ของสหรัฐ อย่างเอ็นวิเดียและเมตา พุ่งทะยานอย่างมากในอัตรา 507 % และ 275% ตามลำดับตั้งแต่สิ้นปี 2022
อย่างไรก็ตามในมุมมองของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ผู้ก่อตั้ง เบิร์กเชียร์ แฮตอะเวย์ มหาเศรษฐีนักลงทุนระดับตำนาน กลับไม่มีความแน่ใจนักว่า AI จะให้ผลลัพธ์อย่างไร โดยเขาพูดประเด็นนี้ในการประชุมประจำปีของเบิร์กเชียร์เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าท่ามกลางกระแสมาแรงของ AI หนีไม่พ้นที่เขาจะได้รับคำถามเรื่อง AI จากผู้ถือหุ้น
เป็นที่รู้กันว่า บัฟเฟตต์ มีหลักการลงทุนง่าย ๆ คือ จะไม่ลงทุนอะไรที่เขาไม่เข้าใจถ่องแท้ AI ก็เช่นกัน เขายอมรับว่าไม่คุ้นเคยกับ AI แต่คิดว่ามันมีศักยภาพมหาศาลทั้งด้านดีและด้านร้าย เขาพูดด้วยน้ำเสียงระมัดระวังว่าถึงแม้จะไม่เข้าใจมัน แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความสำคัญและการมีอยู่ของ AI
แต่หากจะให้พูดถึงศักยภาพด้านร้ายของมัน เขาพูดว่า “ถ้าคุณคิดเกี่ยวกับศักยภาพของมันในการหลอกลวงประชาชน…ถ้าผมสนใจการลงทุนเพื่อหลอกลวงผู้คน มันก็จะเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตตลอดกาล และมันก็เป็นไปได้”
ความหมายของบัฟเฟตต์ก็คือ AI นั้นมีความสามารถสร้างเนื้อหาเทียมขึ้นมาโดยเหมือนของจริงจนแยกไม่ออก ทำให้เกิดการเข้าใจผิด ทำให้ผู้คนหลงเชื่อจนสูญเสียเงินทองทรัพย์สินที่ผ่านมา เป็นที่รู้กันว่านักต้มตุ๋นใช้วิธี “โคลนนิ่ง” เสียง และเทคโนโลยี deep fake เพื่อสร้างวิดีโอและภาพเกี่ยวกับบุคคลเป้าหมายขึ้นมาเพื่อหลอกเอาเงินหรือหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว
นักลงทุนระดับตำนาน ยังเปรียบเทียบว่า ในแง่ร้าย AI ก็อาจไม่ต่างจากระเบิดปรมาณู “ตอนที่มีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ มันคือการปล่อยจีนี่ออกจากขวด และจีนี่ก็ทำบางอย่างที่เลวร้ายมากในระยะหลังนี้ พลังอำนาจของจีนี่ทำให้ผมกลัวแทบบ้า ผมไม่รู้วิธีที่จะนำจีนี่กลับมาเข้าขวด ซึ่ง AI ก็เป็นบางอย่างที่คล้ายกัน ส่วนหนึ่งของมันออกมาจากขวดแล้ว มันจะเปลี่ยนสังคมในอนาคตของเราหรือไม่ เราคงรู้ในภายหลัง”
อนึ่ง จีนี่เป็นตัวละครในวรรณกรรมเรื่อง “จีนี่ อินเดอะบ็อตเทิล” ประพันธ์โดย วิลเลียม เชคสเปียร์ ว่าด้วยเรื่องของชาวประมงยากจนที่ปล่อยยักษ์จีนี่ออกมาจากขวดวิเศษโดยบังเอิญ เขาหวังว่าจีนี่จะช่วยให้เขามีชีวิตที่ดี แต่กลับกลายเป็นว่าจีนี่จะกินเขาเป็นอาหาร
ในอีกด้านหนึ่ง ความบูมของ AI ถูกคาดหมายว่าจะเพิ่มความต้องการใช้กระแสไฟฟ้ามากขึ้น ดังนั้นจะทำให้ความต้องการก๊าซธรรมชาติเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าพุ่งขึ้น เนื่องจากลำพังพลังงานหมุนเวียนจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ จะทำให้แต่เดิมที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐแทบไม่เติบโตเลยเป็นเวลา 10 ปี ก็เชื่อว่าความต้องการไฟฟ้าจะเติบโตราว 20% ภายในปลายปี 2030
บทวิเคราะห์ของ เวลส์ ฟาร์โก ระบุว่า การเฟื่องฟูของ AI พร้อมด้วยการเพิ่มการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่เพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศ ตลอดจนการรณรงค์ให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทำให้บริษัทผลิตไฟฟ้าต้องรีบเตรียมความพร้อมในการจัดหาพลังงาน ทั้งนี้ลำพังความต้องการใช้พลังงานสำหรับ “ศูนย์ข้อมูล AI” ก็คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 323 เทราวัตต์ชั่วโมง (1 เทราวัตต์เท่ากับ 1,000 กิกะวัตต์) หรือมากกว่าความต้องการไฟฟ้าต่อปีของนิวยอร์กซิตี้ถึง 7 เท่า
ในขณะที่การประเมินของโกลด์แมน แซคส์ ชี้ว่าเฉพาะความต้องการใช้ไฟฟ้าสำหรับศูนย์ข้อมูล AI ก็จะคิดเป็น 8% ของการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของสหรัฐภายในสิ้นทศวรรษนี้ และหากมีการขยายกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติ ก็มีแนวโน้มที่จะถูกกลุ่มสิ่งแวดล้อมที่ต่อต้านการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลคัดค้าน