จีนดิ้นกระตุ้นอสังหาฯ แต่ยังคลำไม่เจอปมปัญหา

FILES-CHINA-ECONOMY-PROPERTY-EVERGRANDE
(FILES) A woman walks past an Evergrande Group residential complex called Evergrande Palace in Beijing on January 29, 2024. China's deeply indebted property giant Evergrande has been fined USD 576 million for fraudulent business practices, Beijing's financial regulatory body said on May 31, 2024. (Photo by GREG BAKER / AFP)
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

เมื่อราวกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทางการจีนเริ่มออกมาตรการมาชุดหนึ่ง เป้าหมายก็เพื่อกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวในเชิงบวกต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ

ตอนนั้นหลายคนคิดว่า ในที่สุดทางการจีนก็ได้ตระหนักถึงปัญหาที่แท้จริงที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเสียที แต่ผ่านไปจนกระทั่งถึงขณะนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจจีนทั้งหมด ก็ไม่เพียงไม่กระเตื้องขึ้นเท่านั้น หากแต่ยังทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่องด้วยซ้ำไป

มาตรการต่าง ๆ อาทิ ลดสัดส่วนเงินดาวน์ลง ลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยลง ยกเลิกมาตรการ “ต้องห้าม” ที่ประกาศใช้เพื่อลดการเก็งกำไรไปทั้งหมด และที่สำคัญที่สุดก็คืออัดฉีดเม็ดเงิน 300,000 ล้านหยวน หรือราว 41,400 ล้านดอลลาร์เข้าสู่วิสาหกิจที่เป็นของรัฐระดับมณฑล สำหรับนำไปจัดซื้อที่อยู่อาศัยที่ยังขายไม่ได้ สำหรับนำออกมาขายใหม่อีกครั้งในราคาที่ “เข้าถึงได้”

หรือไม่ก็สามารถนำเงินดังกล่าวไปซื้อที่ดิน ซึ่งเคยขายให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์กลับคืนมาได้อีกด้วย

แต่นักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญพากันชี้ว่า มาตรการเหล่านั้นของรัฐไม่เพียงไม่ถูกจุด ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาขนาดใหญ่มหึมาที่เกิดขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมาได้

นักวิเคราะห์ของโนมูระ ธนาคารเพื่อการลงทุนเปิดเผยว่า ข้อมูลของทางการจีนแสดงให้เห็นว่าบ้านที่สร้างเสร็จแล้วแต่ขายไม่ออกในจีน ณ สิ้นเดือนเมษายนปีนี้ มีอยู่รวมกันมากถึง 391 ล้านตารางเมตร ถือเป็นสต๊อกบ้านที่มีอยู่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 เรื่อยมา

ADVERTISMENT

ยิ่งไปกว่านั้น บ้านที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและที่อยู่ระหว่างการขายล่วงหน้า นับจนถึงสิ้นปี 2022 มีมากถึง 200 ล้านหน่วย โนมูระระบุว่า ถ้าหากต้องการสร้างบ้านเหล่านี้ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ จำเป็นต้องใช้ต้นทุนสูงถึง 3.2 ล้านล้านหยวนเลยทีเดียว

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ “แฮรี เมอร์ฟี ครูส” นักเศรษฐศาสตร์ของมูดีส์ อนาไลติกส์ ยืนยันชัดเจนว่า มาตรการที่ทางการจีนออกมากระตุ้นในครั้งนี้ไม่มีวันเพียงพอ และเป็นไปได้เพียงแค่ “น้ำหยดเดียวที่หยดลงในมหาสมุทร” เท่านั้นเอง

ADVERTISMENT

บทวิเคราะห์ของ “โกลด์แมน แซกส์” ตอกย้ำไปในทิศทางเดียวกันว่า ถ้าหากต้องการจะลดจำนวนบ้านที่เหลือค้างเติ่งอยู่ในเวลานี้ และทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนเสถียรมากขึ้น ทางการจีนจำเป็นต้องอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนลงไปมากกว่า 1 ล้านล้านหยวน ทั้งนี้ จากการสำรวจและวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน 80 เมืองของจีน

และยังย้ำว่า แม้จะอัดฉีดเงินมหาศาลขนาดนั้นลงไปแล้ว กระบวนการในตลาดก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลา โดยหากยึดถือเอาวัฏจักรที่ผ่าน ๆ มาเป็นพื้นฐาน กรณีนี้ก็จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดถึง 9 เดือน

นอกเหนือจากการจัดการกับอาคารที่อยู่อาศัยที่ “ล้นตลาด” อยู่ในเวลานี้แล้ว ทางการจีนยังจำเป็นต้องจัดการกับปม “ความเชื่อมั่น” ของผู้ซื้อ ซึ่งหากต้องการพลิกฟื้นสร้างขึ้นมาใหม่ ก็จำเป็นต้องใช้เวลานานไม่แพ้กับการจัดการบ้านค้างสต๊อกเช่นเดียวกัน

นักวิเคราะห์บางคน อาทิ เอสเธอร์ หลิว แห่ง เอสแอนด์พี ชี้ให้เห็นว่า อันที่จริงแล้วความต้องการที่อยู่อาศัยในจีนยังคงมีอยู่ เพียงแต่ไม่หลงเหลือความเชื่อมั่นที่จะจ่ายเงินดาวน์แล้วรอจนบ้านสร้างเสร็จเพื่อส่งมอบเท่านั้น

ข้อมูลยอดขายบ้านใหม่ในจีนเมื่อปีที่แล้วลดลง 12% แต่ยอดขายบ้านมือสองกลับเพิ่มขึ้นถึง 17% ในช่วงเดียวกันนั้น เป็นหลักฐานบ่งชี้ได้เป็นอย่างดี

ลู ถิง นักวิเคราะห์ของโนมูระ เชื่อเช่นเดียวกันว่า การฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้ซื้อต่อระบบ “พรีเซล” หรือการวางเงินดาวน์ล่วงหน้าและรอจนกว่าบ้านจะสร้างเสร็จ เพื่อรับการส่งมอบของผู้บริโภค คือเงื่อนไขสำคัญที่จะบ่งชี้ว่า การพลิกฟื้นภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนจะเป็นไปได้หรือไม่

นโยบายกระตุ้นที่ผ่านมามีขึ้นก็เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับตลาด แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้ความคาดหวังกับความเชื่อมั่นที่เคยผิดหวังที่ผ่าน ๆ มาเปลี่ยนแปลงไป

เมื่อความเชื่อมั่น ความแน่ใจว่าจะได้บ้านตรงตามกำหนดไม่เกิดขึ้น แถมความคาดหวังว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มขึ้นในอนาคตก็ไม่มี สุดท้ายก็จะไม่มีใครลงทุนซื้อบ้านใหม่

นั่นทำให้ยอดขายที่อยู่อาศัยในจีนช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ของบริษัทผู้พัฒนา 100 อันดับแรกลดลงถึง 44.9% เมื่อเทียบกันปีต่อปี มูลค่าลดลงมาอยู่ที่ 312,200 ล้านหยวนเท่านั้น

และจากการสำรวจใน 50 หัวเมืองขนาดใหญ่ ราคาบ้านสร้างสำเร็จ ณ เดือนมีนาคมลดลง 23.9% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2021

นักวิเคราะห์เชื่อกันว่า จีนยังคงต้องใช้เวลานานไม่น้อยก่อนที่ระดับราคาที่อยู่อาศัยจะกลับมาสู่ระดับสูงเหมือนเมื่อปี 2017-2018 อีกครั้ง

สหรัฐอเมริกาใช้เวลา 6-7 ปีกว่าจะดิ้นหลุดจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอยตามมา ส่วนญี่ปุ่นต้องใช้เวลานานถึง 20 ปี

แล้วจีนจะใช้เวลานานสักกี่ปี ?