แกะรอย “นโยบายเศรษฐกิจ” “ทรัมป์-ไบเดน” ที่แตกต่าง

นับถอยหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะเกิดขึ้นวันที่ 3 พ.ย.นี้ แม้ว่าโพลทุกสำนัก “ไบเดน” จะมีคะแนนนำ แต่ก็ต้องจับตาไม่กะพริบ

“ประชาชาติธุรกิจ” เปรียบเทียบนโยบายเศรษฐกิจของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน และ “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต ที่ได้หาเสียงหากได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไป ซึ่งจะสะท้อนถึงภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดเงินตลาดทุนที่แตกต่างกันไป

เริ่มจาก “เม็ดเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจ” ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังรอการอนุมัติหลังการเลือกตั้ง ซึ่งฝั่ง “โดนัลด์ ทรัมป์” เสนอใช้งบฯ 1.6-1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ “ไบเดน” ประกาศจะอัดฉีดเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมระบุว่าจะทำการอนุมัติเงินก้อนนี้ทันทีหลังการเลือกตั้ง ไบเดนยืนยันว่า จะสามารถผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ได้ทันที เพราะพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้งในสภาบนและสภาล่าง ต่างกับทรัมป์ที่ไม่สามารถควบคุมให้รัฐบาลเขาอนุมัติเงินก้อนนี้ได้

“นโยบายภาษี” ถือว่าเป็นนโยบายที่ทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างชัดเจน

โดยทรัมป์ยังคงนโยบายเอื้อคนรวย คงอัตราภาษีนิติบุคคล 21% หลังออกกฎหมายลดภาษีครั้งใหญ่เมื่อปี 2017 และมีนโยบายที่ต่ออายุกฎหมายดังกล่าว (Tax Cuts and Jobs Act) จากเดิมที่จะหมดอายุปี 2025 ให้ต่อไปถึงปี 2030 ซึ่งข้อมูลจากคณะกรรมการตรวจสอบรายจ่ายรัฐบาลสหรัฐ (CRFB) รายงานว่า รัฐบาลจะเสียเงินทั้งหมด 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ และยังมอบสิทธิการลดหย่อนภาษีบริษัทที่ทำรายได้สูง โดยระบุว่าเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับประชาชน

ส่วน “ไบเดน” มีนโยบายปรับเพิ่มภาษีคนรวย โดยจะปรับเพิ่มภาษีคนที่มีรายได้เกิน 400,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี พร้อมปรับอัตราภาษีเงินได้สูงสุดจาก 37% เป็น 39.6% และเก็บภาษีกำไรบริษัทที่ทำรายได้ต่างประเทศ 21% และภาษีกำไรจากการขายหุ้น รวมทั้งปรับเพิ่มภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% ซึ่งในส่วนนี้นักวิเคราะห์มองว่า อาจจะส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนให้ไหลออกจากสหรัฐไปยังตลาดเกิดใหม่มากขึ้น

ข้อมูลจากหน่วยงานภาษีสหรัฐรายงานว่า มาตรการภาษีของไบเดนจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2021-ปี 2030 โดยประเมินว่า 75% ของภาษีทั้งหมดจะมาจากคนมีรายได้สูงสุดจำนวน 1% ซึ่งหมายถึงไม่ได้กระทบกับประชาชนทั่วไป

ในแง่ของนโยบายการค้า แน่นอนว่า “ทรัมป์” ยึดคติ “America First” ปกป้องธุรกิจอเมริกันแบบแข็งกร้าว ด้วยการใช้วิธีการตั้งกำแพงภาษีประเทศคู่แข่งทั้งหลาย โดยเฉพาะจีน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นการพยายามให้บริษัทอเมริกันสามารถอยู่รอดได้ ท่ามกลาง “สงครามการค้า” ที่ชาติอื่นเข้ามาแข่งขัน

สำหรับ “ไบเดน” ยังมองจีนเป็นศัตรูเหมือนทรัมป์ แต่มีท่าทีประนีประนอมมากกว่า และชูนโยบาย “Buy America” ซื้อแต่ผลผลิตของอเมริกัน มูลค่า 400,000 ล้านดอลลาร์ ที่ครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ไปจนถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่ต้อง “เมด อิน อเมริกา” เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในประเทศ แต่เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ไม่สร้างมลพิษ หรือไม่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

ขณะที่ “ทรัมป์” ไม่เชื่อในเรื่อง “ภาวะโลกร้อน” สนับสนุนการลงทุนพลังงานฟอสซิล และขุดเจาะน้ำมันเพื่อสร้างงานให้กับชาวอเมริกันที่กำลังตกงาน

นี่คือความต่าง 2 ขั้ว 2 นโยบายเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจโลก ในมุมที่แตกต่าง