ตะวันตกจ่อ ‘เปิดประเทศ’ หลังฉีดวัคซีน-คุมโควิดสำเร็จ

ช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา รัฐบาลของหลายประเทศแถบตะวันตกซึ่งสามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ได้แล้ว ทั้งจากการฉีดวัคซีนที่รวดเร็ว รวมถึงมาตรการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด กำลังวางแผน “เปิดประเทศ” ต้อนรับหน้าร้อนช่วงเดือน มิ.ย.นี้ โดยให้ “กิจกรรมทางเศรษฐกิจ” ของประเทศกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับก่อนโรคระบาด

ซีเอ็นบีซีรายงานว่า “สหรัฐอเมริกา” ได้ดำเนินโครงการฉีดวัคซีนคืบหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้ใหญ่ 56% ภายในประเทศได้ฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสแล้ว และประชาชนสามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้โดยไม่จำเป็นต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย

ล่าสุด “บิล เดเบลาซิโอ” นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กแถลงการณ์ว่า นิวยอร์กจะ “เปิดเมือง” 1 ก.ค.นี้ กิจการธุรกิจตั้งแต่ออฟฟิศ โรงละคร ฟิตเนส ร้านทำผม ไปจนถึงสนามกีฬา จะกลับมาเปิดให้บริการตามปกติ พร้อมระบุว่าการเปิดเมืองครั้งนี้จะทำให้มีผู้คนจำนวนมหาศาลเดินทางมานิวยอร์กเพราะต้องการที่จะใช้ชีวิตอีกครั้ง หน้าร้อนนี้จะเป็นของนครนิวยอร์ก อย่างไรก็ดี “แอนดรูว์ คูโอโม” ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กระบุว่า ไม่อยากรอนานถึงวันที่ 1 ก.ค. และอาจหารือให้เปิดเมืองเร็วกว่านี้

ด้าน “รอน ดีแสนติส” ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ก็ได้เซ็นรับรองคำสั่งพิเศษให้ยกเลิกคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับมาตรการป้องกันโรคระบาดทั้งหมด พร้อมระบุด้วยว่า รัฐไม่ได้อยู่ในภาวะฉุกเฉินแล้ว

ขณะเดียวกัน สหราชอาณาจักร (ยูเค) ซึ่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ประชาชนอย่างน้อย 1 โดส 34 ล้านคนแล้ว ทางรัฐบาลได้เริ่มผ่อนปรนมาตรการควบคุมตามโรดแมปที่เคยวางไว้ โดยรัฐบาลกำลังจะประกาศรายชื่อประเทศ “สีเขียว” ที่ประชาชนสามารถเดินทางไปได้แล้ว และอาจอนุญาตให้ประชาชนของประเทศภายในลิสต์นั้นสามารถเดินทางมายังสหราชอาณาจักรได้เช่นกัน ตามกำหนดวันที่ 17 พ.ค.นี้

และเมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ทดลองจัดคอนเสิร์ตที่เมืองลิเวอร์พูล ซึ่งมีผู้ร่วมงานถึง 5,000 คน โดยไม่มีมาตรการควบคุมโรคใด ๆ ทั้งสิ้น แค่ผู้เข้างานต้องผ่านการตรวจเชื้อโควิดก่อน โดยนักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษากรณีงานคอนเสิร์ตดังกล่าวว่าจะมีอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อหรือไม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการเตรียมพร้อมสำหรับวันที่ 21 มิ.ย. ซึ่งตามกำหนดการคือวันที่สหราชอาณาจักรยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคทั้งหมด

นอกจากนี้ สมาคมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวของทั้งสหรัฐและสหราชอาณาจักร กำลังเรียกร้องให้รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศเร่งหารือกันเพื่อเปิดประเทศ และให้เดินทางระหว่าง 2 ประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว

ส่วนสหภาพยุโรป (อียู) แม้โครงการฉีดวัคซีนจะไม่ได้รวดเร็วมาก แต่มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดทำให้สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ระดับหนึ่ง และล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปกำลังหารือแผนเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวช่วงหน้าร้อนนี้

“อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน” ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่จะฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของอียู และผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ ให้สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้อย่างปลอดภัย

ตามแผนการล่าสุดนี้ อียูกำลังเตรียมออก “ดิจิทัลกรีนเซอร์ติฟิเคต” หรือเป็นวัคซีนพาสปอร์ตของภูมิภาคที่จะรับรองว่าบุคคลนั้นฉีดวัคซีนครบโดส มีผลตรวจโควิดเป็นลบ หรือมีภูมิคุ้มกันเพราะหายจากโรคโควิดแล้ว เพื่อให้เดินทางระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น สำหรับคนที่อยู่นอกอียูจะสามารถขอเอกสารที่รับรองการฉีดวัคซีนหรือการมีภูมิคุ้มกันได้ ตราบใดที่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริง ของข้อมูลได้ และมีข้อมูลที่ครบถ้วนเหมือนดิจิทัลกรีนเซอร์ติฟิเคต

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อียูวางแผนจะรับเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ได้ “ฉีดวัคซีน” ที่อียูอนุมัติเท่านั้น แต่อาจผ่อนปรนมาตรการลงโดยอนุญาตให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนที่องค์การอนามัยโลก (WHO) อนุมัติการใช้งานให้เดินทางเข้าภูมิภาคได้ด้วย

ทั้งนี้ แม้การ “เปิดประเทศ” จะทำได้แล้ว แต่หลายประเทศยังคงเผชิญกับการระบาดของโรค ดังนั้น การปลดล็อกมาตรการให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้ามาได้ ก็อาจทำให้โรคโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดในประเทศอย่างรวดเร็วได้อีก อย่างกรณี “อียู” ที่การฉีดวัคซีนยังไปได้ช้า อาจเสี่ยงต่อการกลับมาระบาดอีกครั้ง หากคัดกรองนักท่องเที่ยวไม่ดีพอ สำหรับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร แม้จะฉีดวัคซีนได้เร็วแต่การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเข้ามาอาจนำมาซึ่งสายพันธุ์ของโควิด ซึ่งวัคซีนบางรายอาจไม่มีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อสายพันธุ์เหล่านี้ที่นำมาสู่การระบาดรอบใหม่ได้

หากเกิดการระบาดของโรคอีกครั้ง และต้องกลับไป “ปิดประเทศ” อีกรอบ ภาคธุรกิจอาจได้รับผลกระทบซ้ำเติมมากขึ้นไปอีก เนื่องจากมีการลงทุนเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวไว้แล้ว ซึ่งผู้ประกอบการที่สหราชอาณาจักรกำลังเรียกร้องให้รัฐบาลมีประกันภัยหากต้องกลับไปปิดประเทศอีกครั้ง