“โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งปล่อยน้ำมันดิบจากคลังสำรอง 50 ล้านบาร์เรล เพื่อช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ยูเอสนิวส์ รายงานว่า ประธานาธิบดีไบเดนสั่งปล่อยน้ำมันดิบในคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ จำนวน 50 ล้านบาร์เรล เป้าหมายเพื่อลดราคาน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ โดยก่อนหน้านี้สหรัฐได้ประสานงานกับประเทศที่มีการใช้พลังงานจำนวนมาก เช่น อินเดีย สหราชอาณาจักร และจีน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
- “ทอง” รับข่าวร้ายดันราคาขาขึ้น บาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท
การดำเนินการของสหรัฐครั้งนี้มุ่งเน้นการช่วยเหลือชาวอเมริกันให้สามารถรับมือกับราคาน้ำมันและราคาสินค้าอื่น ๆ ได้ ก่อนที่จะถึงเทศกาลขอบคุณพระเจ้าและการเดินทางช่วงวันหยุดสิ้นปี
ปัจจุบัน ราคาน้ำมันอยู่ที่ 3.40 เหรียญสหรัฐต่อแกลลอน ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วกว่า 50% ตามข้อมูลจากสมาคมรถยนต์แห่งอเมริกา
“การดำเนินการร่วมกันของเราไม่สามารถแก้ปัญหาราคาน้ำมันสูงได้ในชั่วข้ามคืน แต่มันจะสร้างความแตกต่างได้” ไบเดนให้คำมั่นระหว่างกล่าวที่ทำเนียบขาว เขายังกล่าวด้วยว่า “มันต้องใช้เวลา แต่อีกไม่นานคุณน่าจะได้เห็นราคาน้ำมันลดลง เมื่อคุณเติมน้ำมันเต็มถัง”
รัฐบาลจะเริ่มปล่อยน้ำมันสำรองเข้าสู่ตลาดในช่วงกลางถึงปลายเดือนธันวาคม โดยทั่วไปแล้วน้ำมันเบนซินมักจะตอบสนองช้าต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารแนะนำว่า นี่เป็นหนึ่งในหลายขั้นตอนในการลดต้นทุน
ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงในช่วงหลายวันก่อนหน้าการประกาศปล่อยน้ำมัน ซึ่งเป็นสัญญาณว่านักลงทุนต่างกำลังคาดการณ์เรื่องการนำน้ำมันดิบประมาณ 70-80 ล้านบาร์เรลเข้าสู่ตลาดโลก แต่ในการซื้อขายภายหลังการประกาศ ราคาน้ำมันกลับพุ่งขึ้นประมาณ 2% แทนที่จะลดลง
“เคลาดิโอ กาลิมเบอร์ติ” รองประธานอาวุโสฝ่ายตลาดน้ำมัน รีสตาร์ท เอ็นเนอจี กล่าวว่า ตลาดมีความคาดหวังกับข่าวนี้
“ปัญหาคือทุกคนรู้ว่ามาตรการนี้เป็นมาตรการชั่วคราว ดังนั้นเมื่อมาตรการนี้จบลง แล้วอุปสงค์ยังคงสูงกว่าอุปทานเหมือนตอนนี้ แสดงว่าคุณต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่”
ไม่นานหลังการประกาศของสหรัฐ อินเดียระบุว่าจะปล่อยน้ำมัน 5 ล้านบาร์เรลในคลังปิโตรเลียมสำรองทางยุทธศาสตร์ ขณะที่รัฐบาลอังกฤษยืนยันว่าจะปล่อยน้ำมันกว่า 1.5 ล้านบาร์เรลจากคลังเช่นกัน ส่วนญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ก็กำลังจะเข้าร่วมมาตรการนี้
ซึ่งเจ้าหน้าที่สหรัฐมองว่า นี่คือการร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดจากคลังปิโตรเลียมสำรองทางยุทธศาสตร์ทั่วโลก