ศึกรัสเซีย-ยูเครน กระตุ้นยอดใช้จ่ายกลาโหม เยอรมนีประเดิมเสริมเขี้ยวเล็บแล้ว อาวุธชุดแรกสั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกา เป็นเครื่องบินรบ F-35A รุ่นบรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ได้
วันที่ 16 มีนาคม 2565 ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า รัฐบาลเยอรมนี ประกาศซื้อเครื่องบินรบ เอฟ-35 เอ จำนวน 35 ลำ จากสหรัฐอเมริกา เป็นการสั่งซื้ออาวุธหลักชุดแรกที่นายโอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายด้านกลาโหม จากสถานการณ์รัสเซียบุกยูเครน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
รัฐบาลเยอรมนีตัดสินใจเรื่องนี้ต่อเนื่องจากความพยายามจำกัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับรัสเซีย รวมถึงระงับโครงการท่อส่งก๊าซ นอร์ด สตรีม 2 และหันมาเพิ่มเสริมทัพป้องกันตนเองให้ยุโรป
เครื่องบินรบ เอฟ-35 จะประจำการแทนที่ฝูงบินรบทอร์นาโด ซึ่งเยอรมนีใช้งานมานานแล้วตั้งแต่ยุค 1980 และจะปลดประจำการภายในปี 2030 (พ.ศ.2573) โดยเป็นรุ่นเดียวที่ใช้บรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐได้ ซึ่งเก็บไว้ในเยอรมนีสำหรับใช้ในกรณีเกิดสงครามในยุโรป
รายงานระบุว่า การซื้อเอฟ-35 จะทำให้กองทัพอากาศเยอรมนีมีอาวุธที่เข้ากันได้กับชาติสมาชิกในองค์การป้องกันสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต้ และหุ้นส่วนทางทหารในยุโรปมากขึ้น ในขณะที่ชาติเหล่านี้มีเอฟ-35 แล้ว หรือตั้งใจจะซื้อเอฟ-35 ด้วยเช่นกัน
กระทรวงกลาโหมสหรัฐแถลงเมื่อต้นปีว่า เครื่องบินเอฟ-35 ในยุโรป จะได้รับการรับรองให้บรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ได้ก่อนถึงปี 2023 (พ.ศ. 2566)
สำหรับเครื่องบิน เอฟ-35 มี 3 เวอร์ชั่น คือ A, B และ C ในจำนวนนี้มีเฉพาะเวอร์ชั่น F-35A ที่บรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ได้
“เครื่องบินทอร์นาโดออกแบบมาให้ใช้งานป้องกันภัยทางอากาศด้วยการบินในระดับต่ำ และใช้สปีดที่ย่านความเร็วเสียง (ทรานโซนิค) หากต้องทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ การบินต่ำและใช้ความเร็วได้แค่นั้นไม่เหมาะกับปี 2022 อีกแล้ว” จัสติน บรองค์ นักวิจัยเทคโนโลยีและอาวุธทางอากาศ ประจำสถาบัน รอยัล ยูไนเต็ด เซอร์วิส กล่าว
เยอรมนีเพิ่งปรับยุทธศาสตร์ด้านกลาโหมในช่วงสามสัปดาห์มานี้ ให้เพิ่มศักยภาพทางทหารมากขึ้น จากเดิมที่พยายามหลีกเลี่ยงนับจากสงครามโลกครั้งที่สอง โดยประกาศจะเพิ่มงบฯทางทหารขึ้นร้อยละ 2 ตามความต้องการของกลุ่มนาโต้
นายกฯโชลซ์กล่าวว่า รัฐบาลจะเพิ่มงบประมาณกองทัพ จาก 47,000 ล้านยูโร (1.7 ล้านล้านบาท) เมื่อปีก่อน มาเป็น 1 แสนล้านยูโร (3.6 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ เยอรมนีต้องลงทุนมากขึ้นในด้านความมั่นคงเพื่อปกป้องอิสรภาพและประชาธิปไตย
ด้วยการเพิ่มงบประมาณดังกล่าวจะทำให้เยอรมนีเป็นประเทศที่ใช้งบประมาณกลาโหมมากที่สุดในฝั่งยุโรปตะวันตก ส่งสัญญาณว่าจะมีบทบาทมากขึ้นในด้านความมั่นคงของยุโรป
แต่ขณะเดียวกันก็อาจทำให้ประเทศอื่น ๆ กังวล เช่น ฝรั่งเศส ที่มีกองทัพใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป และเป็นแกนนำรณรงค์ให้ยุโรปรวมกองทัพกัน ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าการเสริมเขี้ยวเล็บของเยอรมนี จะเหมาะกับกองทัพของอียูในระยะยาวหรือไม่ และจะแสดงบทบาทอย่างไรในกลุ่มนาโต้