หนุ่มอินเดียที่เกิดจากการข่มขืนช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้แม่

เป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ หลังจากหญิงอินเดียคนหนึ่งถูกเพื่อนบ้าน 2 คนข่มขืนต่อเนื่องกว่าครึ่งปี ตอนนี้เธอหวังว่าจะได้รับความยุติธรรม และผู้ที่คอยสนับสนุนให้เธอเอาคนร้ายมารับผิดก็คือลูกชายที่เกิดจากการข่มขืนครั้งนั้นนั่นเอง 

หญิงจากรัฐอุตตรประเทศผู้นี้ถูกสองพี่น้องดังกล่าวข่มขืนนานกว่า 6 เดือน ในขณะที่เธอมีอายุเพียง 12 ปี หลังจากคลอดลูกชายออกมา เด็กก็ถูกนำไปให้คนครอบครัวอื่นรับอุปการะเลี้ยงดู แต่ได้หวนคืนสู่อ้อมอกเธอในอีก 13 ปีต่อมา และสนับสนุนให้เธอเข้าแจ้งความเพื่อเอาผิดต่อชายที่ขืนใจเธอทั้งสองคน

เมื่อ 10 วันก่อน ตำรวจได้จับกุมผู้ถูกกล่าวหาคนหนึ่ง จากนั้นก็ตามจับชายคนที่สองได้เมื่อ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา

หญิงอินเดีย

ที่มาของภาพ, Getty Images

หญิงผู้เสียหายให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว แต่บาดแผลที่เธอได้รับยังไม่ได้รับการเยียวยา…มันทำให้ชีวิตฉันหยุดชะงัก และยังคงนึกถึงช่วงเวลานั้นอยู่ซ้ำ ๆ”

Advertisment

ในแต่ละปีมีการล่วงละเมิดทางเพศเด็กเกิดขึ้นในอินเดียหลายพันคดี โดยข้อมูลล่าสุดจากทางการระบุว่า ในปี 2020 มีการแจ้งความการก่อเหตุลักษณะนี้เกิดขึ้น 47,000 ราย

องค์กรต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศเด็กระบุว่า ตัวเลขจริงมีมากกว่านี้ เพราะเด็กอาจเล็กเกินไปที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หรือกลัวที่จะบอกให้ผู้ใหญ่รู้ นอกจากนี้ บางครอบครัวอาจไม่เข้าแจ้งความเพราะความอับอาย หรือเกรงกลัวผู้ก่อเหตุ

Advertisment
การประท้วงต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในอินเดีย

ที่มาของภาพ, AFP

“บาดแผลฝังลึกในจิตใจ”

หญิงผู้เสียหาย ซึ่งสื่อไม่สามารถเปิดเผยชื่อจริงได้ตามกฎหมายอินเดีย เล่าว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 1994 โดยผู้ถูกกล่าวหา คือนายนายโมฮัมเหม็ด ราซี และนายนากี ฮาซัน ซึ่งอาศัยอยู่ในละแวกบ้าน ได้ฉวยโอกาสตอนที่เธออยู่บ้านคนเดียวแอบปีนรั้วเข้าไปกระทำชำเราเธอ

ผู้ใหญ่รู้ว่าเธอตั้งครรภ์ หลังจากเริ่มมีสุขภาพแย่ลงจนพี่สาวต้องพาเธอไปหาหมอ ในตอนนั้นหมอปฏิเสธที่จะทำแท้งให้เพราะเธออยู่ในภาวะที่ร่างกายอ่อนแอและยังอายุน้อยมาก

หลังจากคลอดลูกชายออกมา ก็มีการนำเด็กไปให้ครอบครัวอื่นรับอุปการะในทันที

เธอและครอบครัวไม่ได้เข้าแจ้งความเรื่องการข่มขืนที่เกิดขึ้นต่อตำรวจ เพราะถูกผู้ก่อเหตุข่มขู่

“พวกเขาขู่จะฆ่าครอบครัวฉัน แล้วจุดไฟเผาบ้านเราถ้าฉันเอาเรื่องที่ถูกข่มขืนไปบอกคนอื่น” เธอเล่า

“ฉันเคยใฝ่ฝันว่าจะโตขึ้นไปเป็นตำรวจ แต่เพราะคนพวกนั้น ความฝันทั้งหมดของฉันต้องดับสลาย ฉันไปเรียนหนังสือเหมือนเดิมไม่ได้”

ในเวลาต่อมา หญิงผู้เสียหายและครอบครัวได้ย้ายไปอยู่อีกเมือง เพื่อหนีความทรงจำอันเลวร้ายที่เกิดขึ้น ในปี 2000 เธอได้แต่งงานและมีลูกชายคนที่สอง แต่หลังจากใช้ชีวิตคู่ไปได้ 6 ปี สามีของก็ได้ล่วงรู้ว่าเธอเคยถูกข่มขืน และกล่าวโทษเธอ ก่อนที่จะขับไล่เธอและลูกน้อยออกจากบ้าน ส่งผลให้เธอต้องไปอาศัยอยู่บ้านพี่สาว

การค้นหาความจริงของลูกชาย

ไม่ใช่เธอคนเดียวที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากจากสิ่งที่เกิดขึ้น ลูกชายคนแรกที่ถูกยกให้ครอบครัวอื่นเอาไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ก็ประสบกับความยากลำบากเช่นกัน เขาได้รู้ว่าตัวเองถูกอุปการะ หลังจากได้ยินเพื่อนบ้านพูดว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของคนที่เลี้ยงดูเขามา

ตอนอายุได้ 13 ปี พ่อแม่บุญธรรมก็ตัดสินใจส่งคืนเขาให้กับแม่ผู้ให้กำเนิด

การที่เด็กชายรู้สึกขาดความรักจากพ่อ จึงอยากรู้ว่าพ่อผู้ให้กำเนิดคือใคร นอกจากนี้ การที่เขาไม่มีนามสกุลพ่อให้ใช้ยังกลายเป็นปมด้อยที่ทำให้เพื่อนที่โรงเรียนล้อเลียนเขา

หญิงอินเดีย

ที่มาของภาพ, Ramesh Verma/BBC Hindi

สิ่งนี้ทำให้เด็กชายคอยเฝ้าถามแม่ถึงผู้เป็นพ่อ และขู่จะฆ่าตัวตายหากไม่ได้รับคำตอบ ทำให้ในที่สุดเธอก็ยอมเล่าความจริงให้เขาฟัง แต่แทนที่เด็กชายจะตกใจ เขากลับให้กำลังใจผู้เป็นแม่ และสนับสนุนให้เธอลุกขึ้นสู้เพื่อเอาผิดกับคนที่ข่มขืนเธอ

ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม

การจะดำเนินคดีที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การได้รับกำลังใจและการสนับสนุนจากลูกก็ทำให้หญิงผู้เสียหายรายนี้ตัดสินใจเดินทางกลับไปยังเมืองที่เกิดเหตุในรัฐอุตตรประเทศ

แม้ในเบื้องต้นตำรวจจะไม่ยอมรับแจ้งความโดยอ้างว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว และไม่หลงเหลือหลักฐานอะไรให้เอาผิดคนร้ายได้ แต่หญิงผู้เสียหายได้ตัดสินใจว่าจ้างทนายความขึ้นต่อสู้คดี และนำเรื่องขึ้นสู่ชั้นศาลในเดือน มี.ค. 2021

หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกตำรวจจับกุมได้

ด้วยเทคโนโลยีการตรวจดีเอ็นเอ ทำให้ในที่สุดตำรวจก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า 1 ในผู้ต้องหา 2 คน เป็นพ่อของลูกชายที่เกิดจากการข่มขืนของเธอ

ตำรวจตามจับกุมตัวผู้ต้องหาคนหนึ่งได้เมื่อ 31 ก.ค. ก่อนที่สองสัปดาห์ต่อมาจะจับผู้ต้องหาที่เหลืออีกคนได้ แต่ทั้งสองปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด

หญิงผู้เสียหายบอกว่าเธออยากให้เรื่องของตัวเป็นเป็นแรงบันดาลใจให้เหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศคนอื่น ๆ กล้าแจ้งความเอาผิดคนร้าย “ผู้คนมักนิ่งเงียบ ฉันก็นิ่งเงียบอยู่นานมาก และคิดว่านี่เป็นชะตากรรมของฉัน แต่มันไม่จริงเลย เราต้องแจ้งตำรวจ เพื่อที่จะไม่มีใครต้องมาทนทุกข์ทรมานแบบเดียวกับพวกเราอีก”

ส่วนลูกชายของเธอนั้นบอกว่า เขาดีใจมากที่คนที่ข่มขืนแม่เขาถูกตำรวจจับได้

…..

ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว