โควิด : อังกฤษอนุญาตใช้วัคซีนสองสายพันธุ์เป็นชาติแรกของโลก

สหราชอาณาจักรนับเป็นประเทศแรกของโลกที่อนุมัติให้ใช้วัคซีนสองสายพันธุ์ (dual vaccine) เพื่อรับมือกับไวรัสต้นกำเนิดของโรคโควิด-19 และสายพันธุ์ใหม่อย่างโอมิครอน

คาดว่าจะสามารถแจกจ่ายวัคซีนที่ได้รับการพัฒนาประสิทธิภาพให้สูงขึ้นนี้ให้ใช้จริงเป็นวัคซีนเข้มกระตุ้นได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้

บริษัทผู้ผลิตวัคซีนอย่างโมเดอร์นากล่าวว่าสามารถจัดเตรียมวัคซีนได้ภายในอีกสองถึงสามสัปดาห์นับจากนี้ แต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าใครจะได้รับวัคซีนเหล่านี้ก่อน

ในสหราชอาณาจักร ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป และผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด จะได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป

ฉีดยา

ที่มาของภาพ, Getty Images

สำหรับวัคซีนต้นตำรับที่ผู้คนได้รับกันในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิดนั้นถูกพัฒนาขึ้นมาให้ต่อสู้กับสายพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองอู่ฮั่นของจีน ในช่วงปลายปี 2019

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เชื้อไวรัสโควิดได้มีการกลายพันธุ์ไปมากแล้ว โดยสายพันธุ์ใหม่ ๆ เหล่านี้สามารถหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ จนนำไปสู่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก

“เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น”

วัคซีนชนิดใหม่จากโมเดอร์นาพุ่งเป้าไปที่ไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมและไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์แรก หรือที่รู้จักกันในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า บีเอ.1 (BA.1) ซึ่งเริ่มมีการกลายพันธุ์ครั้งแรกเมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมา วัคซีนใหม่นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่าวัคซีนสองสายพันธุ์เนื่องจากมันจะพุ่งเป้าจัดการกับไวรัสโควิดสองสายพันธุ์พร้อม ๆ กัน

หน่วยงานกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (MHRA) ได้พิจารณาหลักฐานที่เกี่ยวข้องและอนุมัติให้ใช้วัคซีนดังกล่าวกับประชาชนในวัยผู้ใหญ่

ดร.จูน เรน ผู้อำนวยการบริหารของ MHRA ชี้ว่า “วัคซีนรุ่นแรกที่มีการฉีดในสหราชอาณาจักรยังคงคุ้มกันพวกเราจากโรคนี้และรักษาชีวิตของผู้คนไว้”

“สิ่งที่วัคซีนสองสายพันธุ์นี้ให้กับเราคือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการปกป้องเราจากโรคนี้ขณะที่เชื้อไวรัสยังคงกลายพันธุ์อยู่”

ผลการทดลองกับผู้ป่วย 437 คน พบว่า วัคซีนใหม่นี้มีความปลอดภัยและส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันได้ดียิ่งขึ้นต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ

ระดับของแอนติบอดีที่สามารถคงอยู่และไปหยุดยั้งการทำงานของเชื้อไวรัสโอมิครอน (บีเอ.1) เพิ่มสูงขึ้นในผู้ป่วยที่ได้รับวัคซีนใหม่นี้ และจากการทดลองกับเชื้อไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์อื่น (บีเอ.4 และ บีเอ.5) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของคลื่นการติดเชื้อรอบใหม่ในสหราชอาณาจักรยังพบระดับการคุ้มกันที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้วัคซีนใหม่นี้ด้วย

อย่างไรก็ดี แม้วัคซีนใหม่นี้จะช่วยป้องกันผู้คนจากไวรัสสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ระบุได้แล้ว แต่ยังเป็นเรื่องยากที่จะพูดอย่างเต็มปากว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าวัคซีนใหม่นี้จะทำงานได้ดีมากแค่ไหน

นายสเตฟาน บองเซล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอของโมเดอร์นากล่าวว่า เขา “ยินดีอย่างยิ่ง” ที่วัคซีนผ่านการอนุมัติให้ใช้ได้

นายบองเซลกล่าวว่า “นี่เป็นการรับรองวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิดสองสายพันธุ์ที่รวมสายพันธุ์โอมิครอนด้วยเป็นครั้งแรก วัคซีนสองสายพันธุ์นี้มีบทบบาทสำคัญในการปกป้องผู้คนในสหราชอาณาจักรจากโควิด-19 เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว”

ในสหราชอาจักร ผู้คนในกลุ่มต่อไปนี้จะได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นในรูปแบบต่างๆ :

  • บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ดูแล
  • ประชาชนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
  • ผู้ดูแลที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป
  • ผู้มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ที่สถานะทางสุขภาพทำให้มีความเสี่ยงสูง ซึ่งรวมถึงหญิงตั้งครรภ์
  • ผู้มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

ประชากรราว 26 ล้านคน จะมีสิทธิได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ ขณะที่เมอร์โดนาระบุว่าสามารถผลิตวัคซีนให้ได้ 13 ล้านโดส ภายในปลายปีนี้

เดิมสหราชอาณาจักรไม่ได้วางแผนจะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับประชาชนอายุระหว่าง 50-65 ปี ทว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วทำให้รัฐบาลออกมาขยายช่วงอายุประชากรให้ครอบคลุมมากขึ้น

…..

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว