“ฉันไม่ใช่วีรสตรี ไม่ได้อยากสู้กับตำรวจไทย”

Tossapol Chaisamritpol / BBC Thai อัน ยู๋ชิง ดาราสาวไต้หวัน ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย โดยมี บก.บีบีซีจีน ช่วยแปลภาษา

หญิงสาววัย 30 ปีเศษ นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ พร้อมจัดท่วงท่าอย่างมั่นใจว่าขึ้นกล้องที่สุด เธอสวมชุดเดรสยาวสีขาว ผมยาวสีดำขลับเสยไปด้านหลัง

“สวัสดีค่ะ ฉันอัน หยูชิง หรือเรียกว่า ชาลีน อัน ก็ได้” เธอทักทายบีบีซีไทยด้วยภาษาไทย สำเนียงจีน แต่ตลอดบทสนทนา เป็นภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวันทั้งหมด

เธอคือนักแสดงหญิงชาวไต้หวัน ที่กำลังเป็นข่าวในสังคมไทยมากที่สุดในเวลานี้ หลังการเดินทางท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ กลายเป็น “ประสบการณ์ที่เลวร้าย” เพราะเธอโพสต์เล่าว่า เจอด่านและถูกตำรวจไทย “รีดไถเงินกว่า 27,000 บาท” บริเวณหน้าสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเช้าตรู่วันที่ 5 ม.ค. 2566

Tossapol Chaisamritpol / BBC Thai
อัน หยูชิง ดาราสาวไต้หวัน ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย โดยมี บก.บีบีซีจีน ช่วยแปลภาษา

“ฉันออกมาให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อสร้างกระแส หรือกล่าวหาว่าตำรวจไทยกระทำผิด ฉันแค่ไม่อยากถูกใส่ร้ายป้ายสีอีกแล้ว” ชาลีน อัน กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกับบีบีซีผ่านโปรแกรมซูม

“ฉันรู้ดีกว่า ท้ายสุด ความจริงของเรื่องนี้คงไม่มีวันกระจ่าง”

และนี่คือบทสัมภาษณ์พิเศษ ที่เธอประกาศว่าจะเป็น “ครั้งสุดท้าย” สำหรับประเด็นข่าวดังข้ามมหาสมุทร ที่เป็น “แผลใจ” ที่เธออยากให้ผ่านพ้นไปเสียที

บุหรี่ไฟฟ้า และกว่า 45 นาทีกับด่านตำรวจ

ชาลีน อัน เริ่มด้วยด้วยการลำดับเวลาที่เธอเล่ามาแล้วหลายครั้ง แต่เธอระบุว่า ถูกสื่อบางสำนักและตำรวจ “บิดเบือนข้อมูล” จนทำให้หลายคนมองว่าเธอกำลังโกหก

เรื่องมันเกิดเมื่อกลางดึกวันที่ 4 ม.ค. 2566 ที่เธอได้ไปเที่ยวไนต์คลับกับเพื่อนหลายคน

“หลังจากเที่ยวไนต์คลับแล้ว ฉันช่วยเพื่อนเรียกรถแท็กซี่ก่อน ซึ่งจากช่วงที่รอรถ ไปจนสิ้นสุดเหตุการณ์กับตำรวจ ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง” ชาลีน อัน แก้ไขความเข้าใจผิด ที่สื่อบางสำนักรายงานว่า เธออยู่กับตำรวจนานกว่า 2 ชั่วโมง

เรื่องเวลาที่แน่ชัดนั้น เธอไม่ขอแสดงความเห็น เพราะเวลานั้น เธอมีเพียงโทรศัพท์มือถือ และไฟส่องสว่างบริเวณนั้นไม่มากนัก ทำให้กะเวลาไม่ได้ แต่คิดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงเวลาตี 1 ถึงตี 3 ของวันที่ 5 ม.ค.

“เราเจอด่านตำรวจ ก้าวลงมาจากรถ แล้วถูกตำรวจตรวจกระเป๋า” เธอเล่าถึงข้อมูลที่เคยปรากฏในหน้าสื่ออยู่แล้ว แต่ยืนกรานว่า พยายามขอให้เพื่อนบันทึกการกระทำของตำรวจ แต่ถูกตำรวจเดินเข้ามาห้าม แล้วลบภาพและวิดีโอออกไป

“เพื่อนของฉัน (คนสิงคโปร์) พอรู้ภาษาไทย เลยไปคุยกับตำรวจ ฉันอยู่ตรงนั้นตอลด แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจภาษา เพื่อนฉันบอกว่า ตำรวจต้องการเงิน 27,000 บาท” แต่สิ่งที่ ชาลีน อัน ไม่คาดคิดคือ ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้ามายัดใส่มือเธอแล้วถ่ายรูป ก่อนจะเรียกแท็กซี่ให้

เธอยังยืนกรานว่า “ฉันรู้ตัวดีว่าไม่ได้เมา และแน่นอนว่า ฉันไม่มีบุหรี่ไฟฟ้าอยู่กับตัวเวลานั้น คนอื่นมีหรือเปล่าฉันไม่รู้…แล้วฉันก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้านั่นไม่ใช่ของฉัน เพราะตำรวจลบภาพและวิดีโอไปหมด”

ก่อนที่ตำรวจจะปล่อยเธอและเพื่อนไป ได้ให้เหตุผลว่า เพราะพวกเธอดูไม่ใช่คนอันตราย “แต่ถ้าฉันไม่ใช่คนอันตราย ทำไมยื้อฉันไว้กว่า 45 นาที”

“สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ คือ ฉันต้องให้ความร่วมมือ … เราอาจกระทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่ตั้งใจก็ได้ แต่ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยี ทำไมตำรวจไม่ใช้ Google Translate ช่วยแปลภาษา ทำไมไม่ออกใบสั่งมาอย่างถูกต้อง”

“กลายเป็นว่าตำรวจให้เราจ่ายเงิน แล้วเลี่ยงกล้องวงจรปิดด้วย ความจริงเลยขึ้นอยู่กับว่าสังคมจะตีความยังไง แต่พวกเราทุกคนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว”

ส่วนภาพที่ปรากฏให้เห็นว่า เธอไปเดินตลาดกลางคืนแถวห้วยขวางต่อ หลังผ่านพ้นด่านตำรวจไปแล้วนั้น ชาลีน อัน อธิบายว่า พวกเธอวางแผนจะไปทานอาหารที่ร้านอาหารในแถบนั้นอยู่แล้ว และตลาดแห่งนั้นก็อยู่ใกล้กับร้านอาหาร

คำชี้แจงที่วกวนของตำรวจ

นับแต่โพสต์ของชาลีน อัน กลายเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทย ตำรวจไทยประกาศสอบสวน และออกมาแถลงข่าวชี้แจงหลายครั้ง โดยมีลำดับเวลา ดังนี้

  • 27 ม.ค. – พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ยืนกรานว่ามีการตั้งด่านจริง บริเวณหน้าสถานทูตจีน พร้อมชี้แจงว่า พบนักท่องเที่ยวต่างชาติพกบุหรี่ไฟฟ้า เจ้าหน้าที่จึงแจ้งว่าผิดกฎหมาย แต่คุยไม่เข้าใจภาษา เพราะพูดภาษาจีน และมีการอัดเสียงไว้ แต่ยังหาไม่เจอ
  • 29 ม.ค. – พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนคบาล 1 (ผบก.น.1,) พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผู้กำกับการ (ผกก.) สน.ห้วยขวาง ร่วมแถลงข่าวกรณี ดาราสาวชาวไต้หวันอ้างว่า ถูกตำรวจตั้งด่านรีดทรัพย์ ตอนนี้ ได้สอบพยานไปแล้วกว่า 10 คน แต่ยังไม่พบหลักฐานว่ามีการเรียกร้บเงิน
  • 30 ม.ค. – พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการด่วน ให้ ผบช.น.สั่งผกก.สน.ห้วยขวาง ไปช่วยราชการ ที่ไหน ??? หลังจากมีข้อมูลว่ามีตำรวจเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกรณีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันถูกเรียกรับเงิน พร้อมกำชับ น.1 ดำเนินการตั้งกรรมการวินัยร้ายแรงและดำเนินคดีอาญาในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำความผิดในเหตุดังกล่าวทุกราย อย่างเด็ดขาด มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง”
  • 30 ม.ค. – พล.ต.ต. นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น. ปฏิบัติหน้าที่งานด้านจเรตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง 5 นายจาก 14 นายมาสอบปากคำ โดยปฏิเสธเรื่องรับเงิน แต่รายละเอียดอื่น ๆ ยังไม่เปิดเผย

บีบีซีไทยเล่าถึงความคืบหน้าของประเด็นนี้ให้ ชาลีน อัน ฟังเพื่ออัพเดทสถานการณ์ โดยเธอกล่าวเพียงว่า “ฉันคิดว่าทุกคนมีคำตอบในใจแล้ว อยู่ที่ใครจะตัดสินอย่างไร

“ฉันไม่ใช่วีรสตรี ไม่ได้อยากต่อสู้กับตำรวจไทย” ชาลีน อัน กล่าวผ่านการสัมภาษณ์ทางไกล

จะไม่กลับมาไทยอีกจริงหรือ

ชาลีน อัน เคยโพสต์ข้อความที่ใช้ถ้อยคำเต็มไปด้วยความรู้สึกว่า “ไม่คิดเลยว่า ไปเที่ยวปีใหม่ที่ไทยหวังเจอประสบการณ์ดี ๆ แต่กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายและน่ากลัวที่สุดในชีวิต และฉันจะไม่ไปเหยียบเมืองไทยอีก” และ “ลาก่อน กรุงเทพห่วย ๆ”

บีบีซีไทยสอบถามเธอว่า จะไม่กลับมาประเทศไทยอีกจริงหรือ, ชาลีน อัน ตอบว่า ตอนที่กล่าวว่า “จะไม่เหยียบไทยอีก” คือความรู้สึกหลังผ่าน “สิ่งเวลาร้ายมา” แต่ตอนที่โพสต์นั้นถึงเวลานี้ ได้ผ่านผ่านมาเกือบเดือนแล้ว

“พอมาทบทวนตัวเอง ฉันคิดว่าฉันคงเคยทำกรรมมา เลยต้องมาเจออะไรแบบนี้” ชาลีน อัน เล่า พลางกุมมือขึ้นกลางอก “ถ้ามีโอกาส ฉันจะกลับไปไทยอีกในอนาคต”

ชาลีน อัน เคยประกาศว่า “จะไม่เหยียบไทยอีก”

Chalene An
ชาลีน อัน เคยประกาศว่า “จะไม่เหยียบไทยอีก”

“ฉันยังรักประเทศไทย… ฉันยังชอบหลายอย่างในไทย ไทยมีสถานที่สวยงามมากมาย วัฒนธรรมทรงคุณค่า และอาหารที่อร่อย”

แต่เธอย้ำว่า ในเวลานี้ คงยังไม่กลับมาไทย เพราะ “ฉันกลัว ฉันกลับมาไต้หวันได้อย่างปลอดภัย แล้วถ้าให้กลับไปไทยแล้วเจออะไรแบบนี้อีก ฉันก็กลัว”

นักท่องเที่ยวคนธรรมดา

ตลอดการสัมภาษณ์นานกว่า 30 นาที ชาลีน อัน ย้ำกับบีบีซีไทยตลอดว่า เธอเป็นเพียง “นักท่องเที่ยวธรรมดา” คนหนึ่ง ที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ที่แปลกประหลาดและเลวร้ายสำหรับตัวเธอ เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติคนอื่น ๆ ที่เดินทางไปประเทศไทย โดยเฉพาะคนเอเชีย และคนที่พูดภาษาจีนกลางเป็นหลัก

“ฉันอยากแบ่งปันเรื่องราวของฉัน ทุกคนจะได้ตระหนักว่ามีภัยอันตรายแบบนี… ฉันก็แค่คนธรรมดา ฉันต่อสู้รัฐบาลหรือประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้ ฉันแค่นักท่องเที่ยวที่อยากบอกเล่าเรื่องที่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก”

ดาราสาวชาวไต้หวันยังเชื่อว่า เธอเป็นเพียงหนึ่งใน “เหยื่อ” เพราะเชื่อว่า มีคนไทยและชาวต่างชาติอีกจำนวนมาก ที่เผชิญเรื่องราวที่เลวร้ายเหมือนกับเธอ

“หวังว่าเรื่องราวของฉันช่วยให้ไทยดีขึ้นได้ ช่วยตีแผ่สิ่งที่คนธรรมดาต้องเผชิญ” ชาลีน อัน

Chalene An
“หวังว่าเรื่องราวของฉันช่วยให้ไทยดีขึ้นได้ ช่วยตีแผ่สิ่งที่คนธรรมดาต้องเผชิญ” ชาลีน อัน

อีกปัจจัยที่เธอคิดว่าทำให้คนไทยสนใจกับโพสต์แบ่งปันประสบการณ์ของเธอ คือ กรณีข่าวนักท่องเที่ยวหญิงจีน “เที่ยวไทยแบบ VVIP”

“ฉันไม่รู้ว่าทำไมเรื่องนี้ถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ มีข่าวนักท่องเที่ยวจีนจ่ายเงินใช้บริการรถตำรวจไทยได้ แล้วก็มาเกิดเรื่องของฉันอีก”

กรณีเที่ยวไทยแบบ “VVIP” คือ ปมจ้างตำรวจนำขบวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางจากสนามบินถึงที่พัก ที่ต้นตอมาจากนักท่องเที่ยวสาวจีนที่โพสต์คลิปดังกล่าวลงใน Douyin หรือ ติ๊กต่อก ในประเทศจีน

คลิปดังกล่าวมีความยาวราว 2 นาที นักท่องเที่ยวสาวชาวจีน อธิบายการทดสอบใช้บริการตำรวจไทยว่าใช้เงินซื้อได้ทุกอย่างตามคำร่ำลือจริงหรือไม่ ในคลิปดังกล่าวยังมีภาพตำรวจไปรับถึงประตูเครื่องบิน เดินนำทาง ยกกระเป๋า เปิดประตูรถให้ ขับรถนำเปิดไฟฉุกเฉินไซเรน ในรูปแบบการบริการแตกต่างตามลักษณะพาหนะนำขบวน เช่น หากเป็นรถจักรยานยนต์สนนราคา 6,000 บาท และหากเป็นรถยนต์ราคาอยู่ที่ 7,000 บาท

สำหรับชาลีน อัน แล้ว ความสนใจในเรื่องราวของเธอ ไม่ใช่เรื่องที่เธอภาคภูมิใจ เพราะการต้องพูดถึงประสบการณ์อันเลวร้าย “ซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งทำให้บาดแผลในใจฝังลึก”

แต่ถ้าเรื่องราวของเธอจะช่วยตีแผ่ปัญหานี้ และเป็นอุทาหรณ์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติระมัดระวังตัวมากขึ้น, ชาลีน อัน ก็ดีใจ

“หวังว่าเรื่องราวของฉันช่วยให้ไทยดีขึ้นได้ ช่วยตีแผ่สิ่งที่คนธรรมดาต้องเผชิญ”

และ “ถ้าสิ่งเลวร้ายแบบนี้หายไป ฉันจะกลับไปไทยอีก”

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว