ราคาน้ำมันดิบ (11 ต.ค. 65) ปรับลด Fed มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องปี’66

ราคาน้ำมันดิบ
Photo : Pixabay

ราคาน้ำมันดิบถูกกดดัน หลัง Fed มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี’66

วันที่ 11 ตุลาคม 2565 หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บมจ.ไทยออยล์ ระบุว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคา ดังนี้ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสและเบรนต์ปรับลด เนื่องจากตลาดกังวลเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาชิคาโก นายชาร์ลส์ อีแวนส์ กล่าวว่า Fed มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ระดับที่ 4.5% ภายในเดือน มี.ค. 66 และจะคงอัตราดอกเบี้ยที่สูงต่อเนื่องในปี 2566 เพื่อชะลอเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวในระดับสูง ขณะที่ CEO ของ JPMorgan Chase กล่าวว่า สหรัฐมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 6 ถึง 9 เดือนข้างหน้า

โดยราคาน้ำมันเวสต์เทกซัสซื้อขายเมื่อ 10 ต.ค. 2565 อยู่ที่ 91.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง -1.51 เหรียญสหรัฐ และราคาน้ำมันเบรนต์อยู่ที่ 96.19 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง -1.73 เหรียญสหรัฐ

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการบริการเดือน ก.ย. 65 ของจีนปรับลดลงสู่ระดับที่ 49.3 จากระดับ 55.0 ในเดือน ส.ค. 65 ซึ่งเป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน เนื่องจากการล็อกดาวน์และใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกดดันต่อความต้องการใช้น้ำมันในประเทศและของโลก

ราคาน้ำมันดิบยังคงได้แรงหนุน จากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรลงกว่า 2.0 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน พ.ย. 65 เพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบที่ถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ตลาดกังวลอุปทานตึงตัว

Advertisment

ราคาน้ำมันเบนซิน

ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังตลาดคาดอุปทานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากปริมาณการส่งออกของจีน หลังจีนประกาศโควตาการส่งออกครั้งใหม่ในปี 2022 ขณะที่อุปสงค์ในเวียดนามมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หลังโรงกลั่นในประเทศประสบปัญหาทางด้านเทคนิค ส่งผลต่อการผลิตในประเทศ

ราคาน้ำมันดีเซล

ปรับตัวลดลงสวนทางราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากอุปทานที่ปรับเพิ่มขึ้นจากตะวันออกกลาง โดยเฉพาะ Bahrain อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้แรงหนุนจากอุปทานฝั่งตะวันตกที่มีแนวโน้มตึงตัวจากเหตุการณ์ประท้วงของแรงงานในฝรั่งเศส