ทนายตั้มแจ้งความอดีตรองนายกฯ ย. ข้อหาแจ้งความเท็จ ไม่เคยมีเหตุการณ์ไปสู่ขอฝ่ายหญิง ทำพิธีหมั้นและให้สินสอด ไม่มีหลักฐานให้ทรัพย์สิน 20 ล้าน
วันที่ 12 มกราคม 2566 ข่าวสดรายงานว่า ที่ สน.บางยี่ขัน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พร้อมด้วยนาย ก. (นามสมมุติ) ลูกความ เดินทางมาแจ้งความดำเนินคดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ในข้อหาแจ้งความเท็จและให้การเท็จ
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- ราคาทองวันนี้ (29 มี.ค. 67) พุ่งกระฉูด 600 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 39,050 บาท
- เลิกอุ้มดีเซล 30 บาท จ่อขยับเพดานราคา 2 บาท มีผล 1 เมษายน 2567
นายษิทรากล่าวว่า วันนี้พานาย ก. มาแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ในข้อหาแจ้งความเท็จและให้การเท็จ เนื่องจากมีหลายอย่างที่การแจ้งความไม่เป็นความจริง อย่างที่บอกกับทุกคนว่า อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ได้ไปสู่ขอฝ่ายหญิง ทำพิธีหมั้นและให้สินสอด ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง เป็นการแต่งเติมข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าข้อกฎหมาย ว่าตัวเองสามารถเรียกคืนทรัพย์สินหรือสินสอดที่เคยให้กับฝ่ายหญิงได้ โดยอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. มีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสมา 10 ปีแล้ว
นอกจากนี้ ทรัพย์สินที่อ้างว่าได้ให้เงินไปซื้อคอนโดฯ ตัวนาย ก. ได้ซื้อคอนโดฯ มูลค่า 3 ล้านตั้งแต่ปี’62 แต่อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. อ้างว่าซื้อให้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากว่า อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. เพิ่งรู้จักกับฝ่ายหญิงเมื่อปี’65 ดังนั้น อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคอนโดฯนี้แน่นอน
นายษิทรากล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องเงินและทรัพย์สินต่าง ๆ ที่อ้างว่าได้ให้ฝ่ายหญิงเกือบ 20 ล้าน ก็เป็นการอ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานการโอนและการเบิกถอน แต่เชื่อว่าอาจจะเคยให้เงินจริง ในฐานะชู้รัก แต่ไม่ได้มากถึง 10 กว่าล้าน นอกจากนี้ ประเด็นที่อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. รู้จักกับฝ่ายหญิง สมัยเป็นแคดดี้ และให้เงินไปทำศัลยกรรม โดยทั้งคู่รู้จักกันมากว่า 10 ปีนั้นไม่เป็นความจริง ฝ่ายหญิงอายุ 25 ปี หากย้อนกลับไป 10 ปี ฝ่ายหญิงก็มีอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“หลังจากที่เปิดเรื่องไปวันที่ 7 ม.ค. และจะแถลงข่าวในช่วงเวลา 10.00 น. ในวันที่ 9 ม.ค. อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ได้ใช้เล่ห์กล ในการจะขอคืนทรัพย์สิน โดยการทำตัวเองให้โสด เพื่อให้สามารถแจ้งความและฟ้องร้องในคดีต่าง ๆ ได้ ก่อนแถลงข่าว 1 ชั่วโมง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ได้ไปทำเรื่องหย่ากับภรรยาที่ว่าการอำเภอสามพราน จ.นครปฐม ในเวลา 08.53 น. ซึ่งก็ได้นำหลักฐานส่วนนี้มามอบให้กับพนักงานสอบสวนด้วย” นายษิทรากล่าว
นายษิทรากล่าวว่า ส่วนกรณีที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นขบวนการตบทรัพย์ และตนก็รู้เห็นกับขบวนการนี้ด้วย อยากชี้แจงส่วนนี้ว่า ตนไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมขบวนการดังกล่าว และนาย ก.เอง ก็ไม่ได้รู้เห็นกับขบวนการนี้ เนื่องจากว่าทันทีที่ทราบว่าฝ่ายหญิงนอกใจก็ขอหย่า โดยใช้กระบวนการกฎหมายทันที
นายษิทรากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ การตบทรัพย์หมายถึง จะต้องไปขอ ไปคุยกันก่อน แต่กรณีดังกล่าว ตั้งแต่ทราบเรื่อง นาย ก. ไม่ได้คุยกับอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย.เลย จึงไม่ใช่การตบทรัพย์ ประกอบกับฝ่ายชายทำธุรกิจส่วนตัวและมีฐานะอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้าร่วมขบวนการดังกล่าว
นายษิทรากล่าวต่อว่า ในส่วนครอบครัวฝ่ายหญิงที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาฉ้อโกงนั้น ด้านอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. รู้อยู่แล้วว่าพ่อของฝ่ายหญิงมีคดีติดตัว จึงได้ไปแจ้งความจับครอบครัวของฝ่ายหญิงเพื่อให้ออกหมายจับ และตำรวจสั่งฟ้อง นั่นเป็นเพียงความเห็นเบื้องต้นเท่านั้น ตนจึงได้ทำเรื่องขอความเป็นธรรมกับอัยการแล้ว ดังนั้นจึงมองว่าคดีที่ขึ้นศาลไปแล้วก็มีสิทธิยกฟ้องได้เช่นเดียวกัน
นายษิทรากล่าวว่า หากเรื่องนี้ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ออกมาพูดความจริงอย่างลูกผู้ชาย เรื่องก็จะดีกว่านี้ แต่กรณีนี้กลับมาโยงให้คนอื่นโดนคดีฉ้อโกงคนอื่นให้เข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมกับขอท้า ถ้าหากมีพิธีสู่ขอจริงให้ปล่อยรูปในงานออกมาโชว์เลย เนื่องจากว่าฝ่ายชายมีพฤติกรรมชอบถ่ายรูปกับฝ่ายหญิงเพื่อโอ้อวดอยู่แล้ว ประกอบกับฝ่ายชายก็เป็นคนใหญ่คนโต จะต้องมีผู้ใหญ่ทางฝ่ายชายไปร่วมงาน ดังนั้นจึงคิดว่าถ้าหากมีพิธีดังกล่าว จะต้องมีการถ่ายรูปแน่นอน
นายษิทรากล่าวด้วยว่า ส่วนประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมฝ่ายหญิงถึงชอบถ่ายรูปลับเอาไว้ เป็นการถ่ายเพื่อมาแบล็กเมล์ภายหลังหรือไม่ หลักฐานที่ตนมียืนยันได้ว่า เป็นการถ่ายภาพลับแล้วส่งให้กันทั้ง 2 ฝ่าย รวมถึงประเด็นที่อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. อ้างว่าไม่ทราบว่าฝ่ายหญิงมีสามีอยู่แล้ว ตนก็มีหลักฐานแชตไลน์ชัดเจนว่า อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ทราบดีว่าฝ่ายหญิงมีสามีอยู่แล้ว
นายษิทรากล่าวต่อว่า ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่ตนได้ฟ้องร้องอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ถึง 25 ล้านนั้น ไม่เป็นความจริง ตัวเลขไม่ได้สูงขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ารู้สึกกังวล เพราะกลัวว่าอิทธิพลของฝ่ายตรงข้ามจะทำให้มีผลเกี่ยวกับรูปคดี เนื่องจากอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. เป็นบุคคลระดับคนใหญ่คนโต ที่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว แต่ยืนยัน คดีนี้ไม่พลิกแน่นอน