ทำความรู้จัก คิงส์โรมัน เขตเศรษฐกิจพิเศษ และแรงงานไทยที่ถูกหลอก

อาณาจักรคิงส์โรมัน
ภาพจาก CHRISTOPHE ARCHAMBAULT / AFP

เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หรือ ในชื่อที่รู้จักกันว่า “อาณาจักรคิงส์โรมัน” แหล่งยาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมาย กับกรณีแรงงานไทยที่ถูกหลอกและหลบหนีขอความช่วยเหลือทางการดูแล

วันที่ 13 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงาน จากกรณีด่าน ตม.เชียงแสน และหน่วยความมั่นคง อ.เชียงของ จ.เชียงราย ได้ประสานการช่วยเหลือผ่านกลไกความร่วมมืองานความมั่นคงระหว่างชายแดนกับคณะกรรมการเฉพาะกิจช่วยเหลือบุคคลต่างด้าวแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว รับตัวคนไทยที่ร้องขอความช่วยเหลือจากการถูกหลอกไปทำงานในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ (คิงส์โรมัน) จำนวน 13 คน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน สำนักข่าว CHIANG MAI NEWS รายงานว่า นายท็อดด์ โรบินสัน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ฝ่ายความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย และยาเสพติด พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดสหรัฐ ร่วมกับ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ สามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อตรวจเยี่ยม และพบปะกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย หลังจากที่สหรัฐ และไทย ได้ทำงานร่วมกันด้านยาเสพติด มาอย่างยาวนาน

นายท็อดด์ โรบินสัน กล่าวว่า “ตนค่อนข้างกังวลในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ทางรัฐบาลลาว ไม่สามารถมีส่วนในการเข้าไปจัดการได้จึงกังวลว่าเรื่องของยาเสพติด อาวุธปืน และสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ อาจจะผ่านเข้าไปในพื้นที่โดยผู้บังคับใช้กฎหมายไม่ทราบได้ สิ่งหนึ่งที่ต้องการให้ทราบถึงปัญหาในเรื่องของคาสิโนในสามเหลี่ยมทองคำ เราไม่แน่ใจว่ามีการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องหรือไม่ มีทางรัฐบาลเข้ามาจัดการได้อย่างถูกต้องหรือไม่ มีการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่”

นอกจากนี้ ทางการสหรัฐ จะขึ้นบัญชีดำคิงส์โรมันแล้วนั้น ยังได้ขึ้นบัญชีดำบุคคลอีก 4 ราย ได้แก่ จ้าว เหว่ย (ผู้บริหารสูงสุด), ซูกู่ฉิน (ภรรยาจ้าว เหว่ย), อับบาส อียีราฮิม (ผู้บริหารคาสิโน), ณัฐ รุ่งตะวันศรี (ผู้จัดการคาสิโน)

อาณาจักรคิงส์โรมันส์
ภาพจาก CHIANG MAI NEWS

สำหรับเหตุการณ์การช่วยเหลือแรงงานไทยที่ถูกหลอกว่าจะได้งานในคาสิโนดังกล่าว มีอยู่เป็นระยะ แรงงานเหล่านี้ ส่วนใหญ่ถูกหลอกว่าจะได้งานเป็นพนักงานของคาสิโน และรับค่าตอบแทนสูง แต่กลับพบว่างานที่ได้รับไม่ตรงตำแหน่ง โดยงานที่ได้รับมอบหมายคือการสกิมมิ่ง สร้างไอจี หรือเฟซบุ๊กปลอม เพื่อหลอกนักลงทุนชาวไทย และต่างชาติ หลังจากได้เงินแล้วจึงปิดเพจหนี

จ้าว เหว่ย และ อาณาจักรคิงส์โรมัน

เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ตั้งขึ้นเมื่อปี 2550 โดยเจ้าของเป็นกลุ่มทุนจากจีนที่มีชื่อว่า “กลุ่มดอกงิ้วคำ” หรือ “คิงส์โรมัน” ซึ่งมี “จ้าว เหว่ย” เป็นหัวเรือใหญ่ โดยได้รับสัมปทานพื้นที่ 3,000 เฮกตาร์ นาน 99 ปีบริเวณสามเหลี่ยมทองคำในฝั่งลาวเพื่อพัฒนาเป็นศูนย์การค้า โรงแรม คาสิโน สนามบิน ฯลฯ

จากข้อมูล สำนักข่าวชายขอบ รายงานว่า ปัจจุบันชุมชนท้องถิ่นริมแม่น้ำโขงทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาวบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ต่างรับรู้อิทธิพลของแหล่งอบายมุขแห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นธุรกิจที่ขัดต่อวิถีวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยาเสพติดที่กำลังแพร่ระบาด เรื่องการค้าสัตว์ป่า จนกระทั่งล่าสุดคือเรื่องการค้ามนุษย์

ส่วนหนึ่งในหนังสือทุนนิยมจีนในอุษาคเนย์ที่มี ศ.ยศ สันตสมบัติ เป็นบรรณาธิการ เปิดเผยว่า “จ้าวเหว่ยมาจากเมืองฮาร์บิน ในจังหวัดเฮยหลงเจียง ภาคเหนือ มณฑลตงเป่ย์ เขาสร้างชื่อเสียงจากความสำเร็จในธุรกิจคาสิโนในเอำเภอเมืองลา เมืองหลวงของเขตเศรษฐกิจพิเศษหมายเลข 4 ในภาคตะวันออกของรัฐฉาน ประเทศพม่า ซึ่งอยู่ติดกับต้าลู่ เมืองชายแดนในมณฑลยูนนาน”

“แต่เนื่องจากธุรกิจการพนันของเขามักดึงดูดข้าราชการจีนจำนวนมากข้ามพรมแดนมาเล่นการพนันในเมืองลา ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา รัฐบาลจีนจึงทำทุกทางเพื่อกดดันให้คาสิโนปิด ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วง จ้าว เหว่ย และครอบครัวจึงต้องย้ายมาสร้างคาสิโนที่เมืองต้นผึ้งในลาว ซึ่งที่ดินราคาถูก และรัฐบาลลาวมีความยืดหยุ่นกว่า”

อาณาจักรคิงส์โรมันส์
ภาพจาก Lillian SUWANRUMPHA / AFP

มาเก๊าแห่งลุ่มน้ำโขง

ข้อมูลจาก Thaipublica เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า อาณาจักรคิงส์โรมันของ จ้าว เหว่ย มีขนาดพื้นที่ใหญ่โตพอ ๆ กับเกาะมาเก๊า จนสื่อจากหลายสำนักขนานนามให้เป็น “มาเก๊าแห่งลุ่มน้ำโขง” แม้ในความเป็นจริงจะรับรู้ว่า อาณาจักรแห่งนี้มีรัฐบาลลาวถือหุ้นอยู่ด้วยร้อยละ 30 ทำให้คิงส์โรมันไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานรายปี และได้รับการยกเว้นภาษีตามสิทธิพิเศษอีกหลายประการ

ปัจจุบันยังคงมีคนไทยที่หลบหนีกลับมาได้จำนวน 5 คน และได้เล่าเรื่องราวถูกหลอก อีกทั้งยังมีผู้ที่ได้รับการช่วยเหลืออย่างไม่เป็นทางการให้กลับมาได้อีก 6 คน ปัจจุบันทั้ง 11 คน ได้รับความปลอดภัยในฝั่งไทย แต่ก็สูญเสียทั้งเงินค่าเดินทาง ค่าจ้างคนให้พาหลบหนี สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ และยังมีคนไทยที่ถูกหลอกในกลุ่มเดียวกันตกค้างอยู่อีก 4 คน

ล่าสุด 1 ใน 4 ได้โทรศัพท์กลับมาแจ้งพรรคพวกที่หลบหนีกลับมาได้ว่า พวกเขาถูกแก๊งสกิมมิ่งนำไปขายต่อให้กับแก๊งอื่นแล้ว โดยถูกบังคับให้ทำงานวันละ 15 ชั่วโมง และบริเวณที่พักและที่ทำงานยังล้อมด้วยรั้วไฟฟ้าเพื่อป้องกันไม่ให้หลบหนีอีกด้วย