GDP โตแค่นี้ เศรษฐกิจดีแค่ไหน ? (1)

จีดีพี
คอลัมน์ : ร่วมด้วยช่วยคิด
ผู้เขียน : ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์, ดร.นครินทร์ อมเรศ, จีรพรรณ โอฬารธนาเศรษฐ์
ธนาคารแห่งประเทศไทย

ตัวเลขประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2565 ที่หลายสำนัก อาทิ แบงก์ชาติได้ประเมินว่าจะเติบโต 3.3% สูงกว่าปีก่อนที่ 1.5% กว่าเท่าตัว ควบคู่ไปกับการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจทำให้เรารู้สึกว่าผู้ดำเนินนโยบายกำลังรู้สึกว่าเศรษฐกิจดีจนต้องเปลี่ยนทิศทางการดำเนินนโยบายมาเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นหรือไม่ มุมมองนี้สอดคล้องกับคำเปรียบเปรยคลาสสิกที่ว่าหน้าที่ของธนาคารกลาง คือ “การยกเอาถังเหล้าออกไปจากงานฉลอง เมื่องานเริ่มสนุก” หรือการแตะเบรกเครื่องยนต์เศรษฐกิจก่อนที่จะเร่งตัวจนเครื่องไหม้ในภายหลัง ในวันนี้จะขอเชิญทุกท่านมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองว่า ตัวเลข GDP โตแค่นี้ เศรษฐกิจดีแค่ไหน ? ถึงเวลาร้อนแรงหรือไม่ ?

จิตเกษม พรประพันธ์ และคณะ 2565 ได้ทำการประเมินพัฒนาการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในรอบสามทศวรรษที่ผ่านมา โดยได้จำแนกองค์ประกอบในการเติบโตทางเศรษฐกิจออกเป็นหลายมิติ ทั้งในส่วนของการใช้ปัจจัยการผลิต เช่น แรงงานและทุน การเคลื่อนย้ายแรงงานและทุนจากสาขาเศรษฐกิจที่มีผลิตภาพต่ำไปยังสาขาเศรษฐกิจที่มีผลิตภาพสูง และการเติบโตจากผลิตภาพการผลิตรวมภายในแต่ละสาขาเศรษฐกิจเอง โดยพบว่าเศรษฐกิจไทยในรอบ 30 ปีนี้ เติบโตเฉลี่ยที่ 3.6% ต่อปี จึงถือว่าตัวเลขประมาณการปีนี้ ที่ร้อยละ 3.3% ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยบ้าง

ตร.จีดีพีโต

การมองจากค่าเฉลี่ยเพียงอย่างเดียว ย่อมมีความคลาดเคลื่อน เนื่องจากเศรษฐกิจ ไทยในอดีตมีช่วงฟองสบู่เห็นได้จากการสะสมทุนอย่างมากในช่วง 1991-1995 แต่เป็นการเคลื่อนย้ายทุนผิดทิศ คือ ย้ายทุนจากสาขาเศรษฐกิจที่ผลิตภาพสูงไปสาขาที่ผลิตภาพต่ำ จนก่อให้ผลลบต่อ GDP ที่ร้อยละ -0.9 ต่อปีโดยเฉลี่ย ขณะที่แรงส่งจากการเพิ่มชั่วโมงการทำงานควบคู่ไปกับการเคลื่อนย้ายแรงงานไปยังสาขาที่มีผลิตภาพสูงขึ้นได้ช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยถึง 1.5% ต่อปี ในช่วง 1991-2010 แต่ในทศวรรษล่าสุดกลับกลายเป็นทรงตัวโดยเฉลี่ย ตามทิศทางของการก้าวเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยของไทย จึงทำให้เราอาจจะไม่สามารถใช้ปัจจัยการผลิตเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกต่อไป

นอกจากที่มาของการเติบโตของ GDP จะน่าสนใจแล้ว ตัวเลขของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อธิบายไม่ได้ด้วยแบบจำลอง หรือที่เรียกว่าเป็นส่วนต่างของ GDP ที่แบบจำลองฟังก์ชั่นการผลิต อธิบายไม่ได้นั้น น่าจะช่วยให้อีกมุมมองว่าเศรษฐกิจขยายตัว สอดคล้องกับการใช้ปัจจัยการผลิตหรือไม่ ซึ่งพบว่าหากแยกค่าเฉลี่ยของการเติบโตออกเป็นช่วงละ 5 ปี ไทยจะมีเพียงช่วงปี 1991-1995 และ 2006-2010 ที่ตัวเลข GDP สูงกว่าตัวเลขที่แบบจำลองประเมิน หรืออาจเรียกได้ว่าโตเกินระดับที่ปัจจัยการผลิตจะเอื้อได้

ขณะที่ตัวเลขในช่วงเวลาอื่น สะท้อนการเติบโตน้อยกว่าที่ควร หรือยังมีช่องว่างด้านประสิทธิภาพการผลิตให้พัฒนาอีก น่าสังเกตว่าแบบจำลองอธิบายเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ได้ค่อนข้างดี กล่าวคือ แทบจะไม่มีส่วนต่างที่แบบจำลองอธิบายไม่ได้ สอดคล้องกับการใช้ปัจจัยการผลิตได้ไม่เต็มที่ ขณะที่ผลิตภาพรวมในสาขาเศรษฐกิจหดตัวมากในปี 2020

คำถามที่น่าสนใจ คือ เมื่อมองไปข้างหน้าแล้วปัจจัยใดจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้ ปัจจัยที่ยังมีโอกาสเติบโตคือผลิตภาพรวมภายในสาขาเศรษฐกิจที่โต 1.9% เกินครึ่งหนึ่งของการเติบโตรวมในช่วงปี 2016-2019 ซึ่งเมื่อจำแนกแล้วมาจากสาขาเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว คือ การค้า โรงแรมและภัตตาคาร และการขนส่งถึง 1.2% และมาจากภาคบริการอื่น ๆ อีก 0.7% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม การผลิตและภาคการเกษตรมีผลิตภาพรวมภายในสาขาเศรษฐกิจทรงตัว

โดยสรุปแล้ว หากเศรษฐกิจกลับมาเข้าที่เข้าทาง ภาคการท่องเที่ยวและบริการกลับมาฟื้นตัวเต็มที่ก็อาจยังทำให้เรามีความหวังว่า GDP 3.3% จะสะท้อนเศรษฐกิจดีได้ แต่หากทั่วโลกเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย จนกระทบต่อการส่งออกสินค้าและภาคท่องเที่ยว ก็มีโอกาสที่ฟังก์ชั่นการผลิตของไทยจะไม่สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะขอยกเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าไว้แลกเปลี่ยนในบทความตอนต่อไป