ดอกเบี้ยแพง-ค่าไฟพุ่ง

ค่าไฟ
คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

แทบจะทุกสำนักการเงินในประเทศไทยต่างประเมินความเป็นไปของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยปี 2566 ว่าจะขยับขึ้นอีกอย่างน้อย 2-3 ครั้ง จนขึ้นไปแตะระดับ 1.75-2.00% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.25% หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ปรับขึ้นเป็นรอบที่ 3 อีก 0.25% ทำให้ปีนี้ไทยขยับอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 3 ครั้ง จำนวน 0.75%

สาเหตุหลัก ๆ มาจากต้องการจัดการเงินเฟ้อที่ทรงตัวระดับสูงมายาวนาน ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่เผชิญกันทั่วโลก จากราคาสินค้า-บริการ และราคาพลังงานเพิ่มสูง โดยไทยสาหัสจากการอุ้มราคาน้ำมันดีเซล จนกองทุนน้ำมันติดหนี้ทุบสถิติกว่า 1 แสนล้านบาท จนต้องกู้เงินและทยอยใช้คืนในกรอบเวลาหลายปีจากนี้ รวมถึงราคาไฟฟ้าที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาพลังงาน

สำหรับเงินเฟ้อของไทย กนง.ประเมินว่าผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในไตรมาส 3 จากนั้นค่อย ๆ ทยอยลดลง ส่วนปี 2566-2567 คาดเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 2.5% และ 2.0% ตามลำดับ แต่ กนง.ระบุว่ายังต้องติดตามสถานการณ์เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพราะมีหลายปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ อาจส่งผลถึงการปรับเพิ่มของราคาพลังงาน

การขยับดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ในช่วงที่ผ่านมา กนง.และแบงก์ชาติประเมินสภาพเศรษฐกิจไทยที่กำลังเริ่มฟื้นตัว การขยับดอกเบี้ยแรงเกินไปเหมือนหลาย ๆ ประเทศอาจมีผลกระทบร้ายแรงกว่า

อย่างไรก็ตาม หากการประเมินของบรรดาผู้เชี่ยวชาญการเงิน ที่ดอกเบี้ยนโยบายอาจขยับขึ้นไปแตะระดับ 1.75-2.00% ในปีหน้า บวกกับค่าไฟฟ้าที่ทรงตัวระดับสูง ราคาน้ำมันคงไม่ปรับลงง่าย ๆ เพราะต่อให้ราคาน้ำมันโลกลดลง คนไทยยังต้องเติมน้ำมันราคาแพงพอ ๆ กับทุกวันนี้ เพราะต้องเก็บเงินชดเชยกองทุนน้ำมันอีกพักใหญ่

เมื่อรวมกับตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่เครดิตบูโรระบุว่ามีระดับเกิน 1 ล้านล้านบาท โดยสูงสุดในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แม้ปัจจุบันจะปรับลดลงจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และผ่อนปรนเข้มงวดโควิด-19 ทำให้คนเริ่มกลับมาทำงานมีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่กระนั้นหนี้ครัวเรือนลดลงไม่มากนัก ยังเกินระดับ 1 ล้านล้านบาทเช่นเดิม

ยิ่งเมื่อดูสภาพเศรษฐกิจโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป และจีน ที่ยังกังวลกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูง จนมีแผนขยับดอกเบี้ยขึ้นอีกหลายระลอกในปี 2566 จนนำมาสู่การประเมินว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มถดถอย

ทั้งเรื่องขึ้นดอกเบี้ย ค่าไฟฟ้า ราคาพลังงาน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่จะส่งผลถึงการส่งออก ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่าปี 2566 จะหดตัวหนักกว่าปีนี้พอสมควร คนไทยโดยเฉพาะชนชั้นกลางลงมา รวมถึงกลุ่มเจนวาย หรือกลุ่มที่อยู่ในวัยเป็นแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ที่อยู่ระหว่างก่อร่างสร้างตัวจนต้องก่อหนี้จำนวนมากต้องวางแผนตั้งรับให้ดี