
คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ
เข้าสู่ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2565 เรียกได้ว่าเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปีที่หลายบริษัทประเมินเศรษฐกิจตลอดทั้งปีอย่างคร่าว ๆ เพื่อเตรียมก้าวสู่ความท้าทายในปีต่อไป ขณะที่สื่อมวลชนเริ่มทยอยประมวลเหตุการณ์เด่นของปีนี้ด้วยเช่นกัน ไฮไลต์ของปีนี้ย่อมเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่บาดเจ็บหนัก ด้วยวิกฤตซ้อนวิกฤตตามสำนวน “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก”
จากปมโควิดที่คล้ายจะคลายแต่ไม่คลายโดยเฉพาะที่จีน ปมภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดสงครามทั้งในสมรภูมิยูเครนและการแซงก์ชั่นของชาติตะวันตกต่อรัสเซีย ทำให้บานปลายไปสู่วิกฤตพลังงาน เงินเฟ้อที่ทุบสถิติในหลายประเทศและในรอบหลายสิบปี
ความพยายามที่จะควบคุมจนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้วในบางประเทศ และน่าหวั่นเกรงว่ากำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในปีหน้า
แม้ว่าไทยอยู่ในสถานการณ์ที่พอประคองได้ มีจีดีพีที่ยังบวก และมีผลการคาดคะเนเป็นบวกจาก IMF ที่คาดคะเนว่าปี 2566 จะเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เศรษฐกิจจะเติบโตเป็นบวก จาก 2.8% เป็น 3.7% แต่สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไปไม่ได้บวกตามไปกับกลุ่มมหาเศรษฐี เมื่อต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ค่าไฟฟ้าที่กำลังจะขยับตัวและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและภาคการผลิต
ปัญหาที่ไม่หายไปไหนคือ หนี้สินที่พอกพูนขึ้น ตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนไทยปัจจุบันอยู่ที่ 14.7 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 88% ของจีดีพี มูลค่า 16.7 ล้านล้านบาท แม้ในภาพใหญ่ไทยไม่ได้มีเส้นทางที่น่ากลัวเหมือนกับศรีลังกาที่มีเศรษฐกิจสะบักสะบอมที่สุดประเทศหนึ่งในปีนี้ แต่เมื่อมองไปยังภาพเล็กที่มีรายละเอียดข้อมูลแล้วยังน่าวิตก
กรณีที่เครดิตบูโร พบว่า ผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y ที่มีช่วงอายุ 25-42 ปี กลายเป็นกลุ่มที่มีปัญหาในการชำระหนี้มากที่สุด และมีแนวโน้มหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของจำนวนบัญชีและวงเงินหนี้
ตัวอย่างนี้สะท้อนภาพว่ากลุ่มคนในวัยทำงานและเป็นอนาคตสำคัญของประเทศกำลังแบกภาระที่ฉุดรั้งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า
สำหรับการท่องเที่ยวที่เป็นความหวังใหญ่ในปีหน้า หลังมองเห็นการฟื้นตัวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวเกิน 10 ล้านคนที่รัฐบาลเพิ่งเฉลิมฉลองไปไม่นานนี้ กลับไม่ได้ปลอดโปร่งราบรื่น เพราะมีปัจจัยที่กดดันยังคงเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย ราคาพลังงานสูง ราคาข้าวของแพง ทั้งตลาดคนไทยและตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ภาพเศรษฐกิจที่เหลืออีก 2 สัปดาห์ของปีนี้คงไม่อาจพลิกผันไปได้มากกว่านี้ แต่จะยังมีผลต่อไปในปีหน้า