Gen Y & Gen Z…สุดอู้ฟู่ ลูกค้าสำคัญดัน “ลักเซอรี่” กระฉูด

สินค้าลักเซอรี่
คอลัมน์ : Market Move

กลุ่มผู้บริโภคเจนซี (Gen Z) หรือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2538-2552 และเจนวาย (Gen Y) หรือคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2528-2537 กำลังเป็นความหวังใหม่ของวงการสินค้าลักเซอรี่ หลังผลสำรวจล่าสุดชี้ชัดว่า กลุ่มนักช็อประดับลักเซอรี่ไม่เพียงจะร่ำรวยและพร้อมใช้จ่ายมากขึ้น แต่ยังเริ่มซื้อสินค้าหรูหลากหลายชนิดตั้งแต่อายุน้อยลง รวมถึงมีแนวโน้มช็อปมากขึ้นถึง 3 เท่าในช่วงเวลา 10 ปีข้างหน้าอีกด้วย

สำนักข่าว “ซีเอ็นบีซี” รายงานถึงผลวิจัยผู้บริโภคในตลาดสินค้าลักเซอรี่ของบริษัทวิจัย เบรนแอนด์โค ซึ่งพบว่าผู้บริโภคเจนซีและเจนวายเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเติบโตของยอดขายสินค้าลักเซอรี่ในปี 2565 ที่ผ่านมา และในอนาคตเม็ดเงินจากผู้บริโภคกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

โดยคาดว่า ในปี 2573 ผู้บริโภคเจนซีและเจนวาย รวมไปถึงกลุ่มอายุน้อยของเจนอัลฟ่า (Gen Alpha) หรือกลุ่มคนที่เกิดตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ซึ่งปัจจุบันอายุต่ำกว่า 13 ปี จะสร้างยอดขายถึง 1 ใน 3 ให้กับตลาดสินค้าสินค้าลักเซอรี่ ทั้งนี้ สอดคล้องกับพฤติกรรมสนใจสินค้าหรูของคนรุ่นใหม่ที่เด่นชัดกว่าคนรุ่นก่อนหน้า

สำหรับพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคกลุ่มนี้นั้น ผลสำรวจพบว่าเหล่าเจนซีเริ่มซื้อสินค้าลักเซอรี่หลากหลายรูปแบบกันตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าถือ เสื้อผ้า รองเท้า สินค้าความงาม ไปจนถึงนาฬิกาข้อมือ และเพชร พลอย

ซึ่งเป็นการเริ่มเข้าวงการสินค้าหรูที่เร็วกว่าผู้บริโภคกลุ่มเจนวายถึง 3-5 ปี สะท้อนแนวโน้มของผู้บริโภคสินค้าหรูที่เด็กลงเรื่อย ๆ

“ภายในปี 2030 ผู้บริโภครุ่นใหม่ทั้งเจนวาย, เจนซี และเจนอัลฟ่า จะกลายเป็นฐานลูกค้าหลักและลูกค้าสำคัญของวงการสินค้าลักเซอรี่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยสัดส่วนมากถึง 80% ของยอดขายทั่วโลก”

ทั้งนี้ วงการสินค้าลักเซอรี่ถือเป็นตลาดที่แข็งแกร่งในวงการค้าปลีก เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก อย่างอัตราเงินเฟ้อ สภาพเศรษฐกิจชะลอตัว และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ สะท้อนจากการเติบโตของมูลค่าการซื้อขาย

ซึ่งบริษัทวิจัย เบรนแอนด์โค คาดว่า เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมามีมูลค่าการซื้อขายทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 22% จากปีก่อนหน้า เป็น 3.53 แสนล้านยูโร หรือประมาณ 12.5 ล้านล้านบาท

ส่วนปี 2566 นี้คาดว่าตลาดจะเติบโตได้อีก 3-8% โดยขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และสภาพเศรษฐกิจยุโรป

เนื่องจากปีที่แล้วสหรัฐสามารถแซงจีนขึ้นมาครองบังลังก์เป็นประเทศที่มีทำยอดขายสินค้าลักเซอรี่สูงที่สุดในโลก ด้วยการเติบโตของยอดขาย 25% เป็น 1.13 แสนล้านยูโร หรือประมาณ 4 ล้านล้านบาท ตรงข้ามกับประเทศจีนที่ยอดขายลดลง 1% จากการล็อกดาวน์เมืองใหญ่หลายแห่งตลอดช่วง 1 ปี

ขณะเดียวกัน ยุโรปยังเติบโตแข็งแกร่งถึง 27% เป็นผลพวงของนักท่องเที่ยวอเมริกันบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาช็อปปิ้งในยุโรปช่วงฤดูร้อน สินค้ายอดฮิตที่คาดว่าจะยังเป็นกลุ่มแอ็กเซสซอรี่อย่างกระเป๋าถือ ซึ่งจะได้รับความนิยมต่อเนื่องจากปีที่แล้ว

นอกจากนี้ ปีที่แล้วเครื่องหนังเป็นกลุ่มที่กลับมาเติบโตโดดเด่น หลังยอดขายเพิ่มขึ้น 23-25% ทำให้ยอดขายสูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ถึง 40% ส่วนใหญ่เป็นผลของการปรับขึ้นราคาสินค้าในสัดส่วนค่อนข้างสูง อย่างกระเป๋าถือยี่ห้อชาแนลที่ปัจจุบันราคาสูงกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 60% โดยบริษัทวิจัยคาดว่า 70% ของการเติบโตในปีที่แล้วเป็นของการขึ้นราคาสินค้า ส่วนการออกสินค้าใหม่และเหล่าสินค้าเด่นของแต่ละแบรนด์มีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ด้านผู้บริหารแบรนด์สินค้าลักเซอรี่และนักวิเคราะห์ต่างมองว่า กระแสความนิยมสินค้าหรูในกลุ่มผู้บริโภคอายุน้อยลงนี้ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของผู้มีรายได้สูงตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ร่วมกับความแพร่หลายของโซเชียลมีเดีย อีกทั้งการซื้อสินค้าลักเซอรี่อย่างกระเป๋าถือหรือรองเท้าผ่านออนไลน์ยังทำได้ง่ายขึ้นมาก เนื่องจากหลายแบรนด์หันมาเปิดช่องทางอีคอมเมิร์ซ รวมถึงตลาดสินค้าหรูมือสองออนไลน์ก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน

“แจน โรเจอร์ นิฟเฟ่น” ซีอีโอบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจค้าปลีก เจ โรเจอร์นิฟเฟ่น ดับเบิลยู ดับเบิลยูยี อธิบายว่า ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปในปีที่แล้วคือ ความมั่งคั่งของผู้บริโภคระดับบนในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น และอิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่บอกผู้บริโภคเหล่านี้ว่าอะไรคือสินค้าสุดเจ๋งในตอนนี้ นอกจากนี้ เชื่อว่าอายุของผู้บริโภคที่เริ่มซื้อสินค้าหรูอาจจะเด็กลงได้อีก หลังก่อนหน้านี้ระดับอายุอยู่ที่ 18-20 ปี ก่อนจะลดลงมาเป็น 13-15 ปีในปัจจุบัน

สอดคล้องกับปรากฏการณ์สินค้าลักเซอรี่ที่บูมในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งปีที่แล้วชาวโสมขาวซื้อสินค้าหรูมากขึ้นถึง 24% คิดเป็นมูลค่า 1.68 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมอร์แกนสแตนลีย์ บริษัทให้บริการทางการเงินวิเคราะห์ว่า เป็นผลจากความต้องการอวดฐานผ่านทางโซเชียลมีเดีย และการมีกำลังซื้อสูงขึ้น


สุดท้ายบริษัทวิจัย เบรนแอนด์โค เชื่อว่า หลังจากนี้ เว็บ 3.0 รวมถึงเมตาเวิร์ส และเอ็นเอฟที จะมีส่วนช่วยผลักดันยอดขายสินค้าลักเซอรี่ในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ให้มากขึ้นอีก