หุ่นยนต์เสิร์ฟดีมานด์พุ่ง “จีน-สหรัฐ” ระเบิดศึกแย่งตลาด

หุ่นยนต์เสริ์ฟอาหาร
คอลัมน์ : Market Move

ในยุคหลังโควิด-19 นี้ ปัญหาขาดแคลนแรงงานยังคงเป็นความท้าทายของธุรกิจไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการบริการมาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงแรมที่พัก ฯลฯ ซึ่งยังไม่สามารถหาพนักงานมารองรับลูกค้าจำนวนมากที่กลับใช้บริการได้

แต่ขณะเดียวกันสถานการณ์นี้เป็นโอกาสทองของบรรดาผู้ผลิตหุ่นยนต์ที่จะส่งสินค้าของตนเข้าอุดช่องว่างด้านแรงงานในประเทศต่าง ๆ

หนึ่งในนั้นคือ สตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์นจากแดนมังกรที่ปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารในจีนถึงเกือบ 50% และเตรียมสยายปีกส่งออกหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารไปบุกตลาดต่างประเทศ

สำนักข่าว “นิกเคอิ เอเชีย” รายงานว่า คีนอน โรโบติกส์ (Keenon Robotics) สตาร์ตอัพสัญชาติจีน ประกาศกลับมาเดินหน้าแผนบุกชิงดีมานด์หุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารในตลาดโลกอีกครั้ง หลังสบโอกาสจีนประกาศเปิดประเทศ

แม้คีนอนจะเป็นบริษัทหน้าใหม่ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2553 และเริ่มผลิตหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารในปี 2560 แต่ตามข้อมูลของบริษัทวิจัยไอดีซีนั้น สตาร์ตอัพรายนี้ไม่ธรรมดา โดยปี 2564 สามารถครองส่วนแบ่งตลาดหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารในจีนได้ถึง 49% ด้วยหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารที่มีรูปร่างคล้ายชั้นหนังสือสูงประมาณช่วงอกของมนุษย์ และเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดประมาณ 1 เมตร/วินาที หรือ 3.6 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมถึงบรรทุกน้ำหนักได้ 40 กิโลกรัม

ไม่เพียงตำแหน่งเจ้าตลาดในประเทศบ้านเกิด สตาร์ตอัพสัญชาติจีนรายนี้ ยังนับเป็นผู้เล่นรายหลักในตลาดโลกอีกด้วย หลังข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ร้านอาหารนอกประเทศจีน อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้หุ่นยนต์ของคีนอนรวมกันมากถึง 10,000 ตัว ขณะที่อีก 25,000 ตัว ใช้งานในประเทศจีน

ADVERTISMENT

“วาน บิน” ประธานฝ่ายปฏิบัติการของคีนอน โรโบติกส์ กล่าวว่า ภายในปี 2568 บริษัทจะขยายจำนวนหุ่นยนต์ที่ใช้งานอยู่ทั่วโลกให้มากขึ้นเป็น 3-5 เท่าของปัจจุบัน พร้อมกับจะพยายามให้สัดส่วนจำนวนหุ่นยนต์ที่ลูกค้าต่างประเทศใช้เพิ่มจาก 30% เป็น 50% ด้วย

ทั้งนี้ คีนอนเริ่มเร่งสปีดแผนรุกตลาดนอกแดนมังกรมาตั้งแต่ปี 2565 ด้วยการเดินสายปักธงตั้งบริษัทย่อยในตลาดหลักต่าง ๆ ทั่วโลกรวม 6 แห่ง ประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และฮ่องกง รวมถึงขยายไลน์หุ่นยนต์สำหรับธุรกิจโรงแรม ซึ่งมีไฮไลต์อยู่ที่สามารถขึ้นลิฟต์ได้ และสามารถรู้ได้ด้วยว่าลิฟต์แน่นเกินไปหรือไม่ ด้วยเซ็นเซอร์ที่จะสแกนจำนวนผู้โดยสารในลิฟต์ หากพบว่าแน่นเกินไป หุ่นยนต์จะรอลิฟต์ตัวถัดไปแทน นับเป็นการต่อยอดจากหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารที่มีเซ็นเตอร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางเพื่อป้องกันการชน

ADVERTISMENT

ด้วยฟังก์ชั่นเหล่านี้ และระดับราคาเข้าถึงง่ายประมาณ 1 หมื่น-3 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ ทำให้หุ่นยนต์ของคีนอนได้เปรียบคู่แข่งในทั้งตลาดยุโรป สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น

“สาเหตุที่เราสามารถตั้งราคาระดับนี้ได้ เพราะการวางรากฐานซัพพลายเชนในจีนจนสมบูรณ์ และยังสามารถหาชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้ในราคาถูกอีกด้วย” ประธานฝ่ายปฏิบัติการของคีนอน โรโบติกส์ กล่าว

ขณะที่สถาบันอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติของจีนคาดการณ์ว่า ปี 2566 นี้ ตลาดหุ่นยนต์บริการทั่วโลกจะเติบโตจนมีมูลค่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2565 ด้วยกระแสความต้องการใช้งานหุ่นยนต์บริการในหลากหลายธุรกิจนอกเหนือจากร้านอาหาร ทั้งค้าปลีก สถานพยาบาล สถานศึกษาและอื่น ๆ

ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ่นยนต์บริการในจีนมีแนวโน้มเติบโต 28% ซึ่งสูงกว่าตลาดโลก แต่หากเทียบด้านมูลค่าแล้ว เม็ดเงินในแดนมังกรมีสัดส่วนเพียง 30% ของตลาดโลกเท่านั้น

แม้จะดูเหมือนเป็นการขยายธุรกิจแบบก้าวกระโดด แต่การตั้งฐานใน 6 ตลาดนี้ยังช้ากว่าความตั้งใจเดิมของบริษัท โดยเมื่อปี 2564 โฆษกของบริษัท กล่าวว่า ตั้งเป้าเข้าไปตั้งบริษัทใน 10 ประเทศภายในสิ้นปี ความล่าช้านี้คาดว่าเป็นเพราะผลกระทบจากนโยบายซีโร่โควิดของรัฐบาลจีน ทำให้ทั้งคีนอนและผู้ผลิตหุ่นยนต์รายอื่น ๆ ต้องชะลอแผนขยายธุรกิจของตนออกไป และธุรกิจในประเทศเองยังไม่ฟื้นตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ระบุว่า ปี 2565 โรงงานต่าง ๆ ผลิตหุ่นยนต์บริการลดลงไปถึง 30%

อย่างไรก็ตาม ปี 2566 นี้ ทิศทางตลาดหุ่นยนต์บริการในจีนกลับมาฉายแววสดใส โดย “ซ่ง เสี่ยวกัง” กรรมการบริหารและเลขาธิการ พันธมิตรอุตสาหกรรมหุ่นยนต์จีน กล่าวว่า ความต้องการหุ่นยนต์บริการจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพสังคมสูงวัยและปัญหาขาดแคลนแรงงาน

ท่ามกลางกระแสเติบโตนี้ ผู้ผลิตหุ่นยนต์รายอื่น ๆ ต่างขยับตัวหันลุยตลาดโลกเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น พูดู เทคโนโลยี ผู้เล่นเบอร์ 2 ของตลาดหุ่นยนต์เสิร์ฟในประเทศจีน และเป็นผู้เล่นใหญ่ในตลาดโลกเช่นเดียวกัน โดยโฆษกของบริษัทกล่าวว่า บริษัทส่งออกหุ่นยนต์ไปให้ลูกค้าในต่างประเทศมากกว่า 5.6 หมื่นตัว ในจำนวนนี้ 3 พันตัวให้บริการในเชนร้านสกายลาคที่ประเทศญี่ปุ่น

สาเหตุที่หุ่นยนต์ของพูดูได้รับความนิยม มาจากดีไซน์คล้ายแมวและยังสามารถสนทนาแบบง่าย ๆ กับพนักงานหรือลูกค้าในร้านได้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นสัญชาติอเมริกันอย่าง แบร์ โรโบติกส์ ที่ผลิตหุ่นยนต์สำหรับงานดูแลในชื่อ เซอร์ไว (Servi) ซึ่งเชนร้านอาหารในญี่ปุ่นนำมาใช้ เช่น ร้านกิว-คาคุ และร้านยากินิคุ คิงส์

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนถึงความคึกคักในวงการหุ่นยนต์บริการทั้งงานเสิร์ฟและงานบริการในโรงแรมที่จะคึกคักในปี 2566 นี้ หลังผู้ผลิตรายใหญ่ในจีนกลับมาลงสนามอีกครั้งหลังห่างหายไปนาน