วิสาหกิจเพื่อสังคม vs มูลนิธิ ทางเลือกการทำ ‘ESG’

วิสาหกิจเพื่อสังคม ESG
คอลัมน์ : รอบนอก
ผู้เขียน : ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์

ช่วงที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ “วิกรม กรมดิษฐ์” ประกาศมอบทรัพย์สินส่วนตัวมูลค่าราว 2 หมื่นล้านบาทเข้า “มูลนิธิอมตะ” สานต่อเจตนารมณ์เพื่อประโยชน์สาธารณะ หวังยกระดับคุณภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจผ่านกิจกรรม ทั้งส่งเสริมวงการศึกษา ศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรม นวัตกรรม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนในสังคม

“ประชาชาติธุรกิจ” ขอนำเสนอบทความของ “ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” อดีตประธาน บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ที่เขียนเรื่อง “บริษัทวิสาหกิจเพื่อสังคม ทางเลือกในการทำ ESG” มาเป็นข้อเสนอภาคธุรกิจในการวางโมเดลดังต่อไปนี้

หลังจากที่พระราชบัญญัติวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้ ปัจจุบันมีการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม ในการทำกิจการที่เป็นสาธารณประโยชน์เพื่อสังคม โดยมีกลุ่มบุคคลที่จะทำธุรกิจแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม จำนวนไม่มาก

จากข้อมูล (ปี 2563) มีประมาณ 145 ราย โดยแบ่งเป็นประเภทไม่แบ่งปันผลกำไรให้ผู้ถือหุ้น 123 ราย และประเภทแบ่งปันผลกำไร 22 ราย เท่าที่ทราบปัจจุบันมีรวมประมาณ 178 ราย ซึ่งที่ผ่านมาก็ยังไม่พบว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ประสบความสำเร็จในการที่จะเจริญเติบโตมีกำไร และสามารถขยายเครือข่ายในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมได้มากนักตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

ผมคิดว่าความล้มเหลว หรือการไม่บรรลุพันธกิจของวิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศไทยอาจเกิดจากหลายสาเหตุ

1.ขาดเงินทุนที่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และยังมีต้นทุนสูงกว่าธุรกิจที่หวังผลกำไรทั่วไป

2.ขาดความรู้การบริหารจัดการที่ดีทั้งด้านการเงิน การจัดการ การตลาด (ขาดระบบนิเวศที่ช่วยขับเคลื่อน)

3.ขาดทรัพยากรบุคคล ที่มีความรู้ความสามารถในการขับเคลื่อน

4.ขาดความเข้าใจระหว่างกลุ่มลูกค้ากับชุมชน ซึ่งจะทำให้เกิดการทิ้งภารกิจเพื่อสังคมได้ง่าย

5.ภาครัฐเข้าไปกำกับดูแลมากเกินไป

ดังนั้น หากองค์กรธุรกิจหรือองค์กรสาธารณกุศลใด ๆ ก็ตามที่มีความประสงค์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในด้านการศึกษา สังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ให้สอดรับกับพันธกิจขององค์กรธุรกิจในเรื่องสิ่งแวดล้อม (environment) สังคม (social) และการกำกับดูแลกิจการ (governance) หรือ ESG การเลือกรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมแบบไม่มีกำไรมาแบ่งปันน่าจะเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงานเพื่อบรรลุพันธกิจในเรื่อง ESG และบรรลุผลได้อย่างเป็นรูปธรรม

เนื่องจากผมได้เคยมีโอกาสศึกษาการจัดทำร่างพระราชบัญญัติวิสาหกิจเพื่อสังคมในสมัยที่เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และยังได้มีโอกาสเข้าไปเป็นกรรมาธิการของการร่างพระราชบัญญัติวิสาหกิจเพื่อสังคมในขั้นตอนการพิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในช่วง พ.ศ. 2562 ผมมีความเชื่อว่าบริษัทวิสาหกิจเพื่อสังคมจะเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการที่จะพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และสร้างความโปร่งใสให้กับธุรกิจได้ หากได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนให้ถูกวิธี

ปัจจุบัน ESG เป็นเรื่องที่ทุกองค์กรต้องตระหนักในความสำคัญ เพราะกฎระเบียบการค้าการลงทุนในประเทศและระหว่างประเทศบังคับให้ต้องทำ ไม่ใช่เป็นทางเลือก เพราะ ESG ไม่ใช่แค่เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR)

ผมได้มีโอกาสได้เข้าไปทำงานเป็นประธานกรรมการ บริษัท ชีวามิตรวิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งเป็นองค์กรวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ไม่เอากำไรมาแบ่งปัน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร หลังจากใช้เวลามากว่า 5 ปี ด้วยเพราะมีทุนจากบริษัทและมูลนิธิใหญ่เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการที่มีชื่อเสียงได้รับการยอมรับ มีผู้บริหารที่มีความสามารถ และสามารถตอบโจทย์ของผู้ที่อยู่ในสภาวะเจ็บป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ จึงอาจเป็นตัวอย่างแค่ส่วนน้อยที่สามารถประสบความสำเร็จ

ประกอบกับการได้มีโอกาสนั่งเป็นกรรมการ ทั้งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทนอกตลาด รวมถึงเป็นกรรมการตลาดทรัพย์แห่งประเทศไทย และรับผิดชอบดูงานของ ESG จึงพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก หากองค์กรธุรกิจต้องการจะบรรลุพันธกิจ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพัฒนาในเรื่องสิ่งแวดล้อม การศึกษา สุขภาพ สังคม เพื่อให้ตอบโจทย์ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ ต้องมีองค์กรที่ขับเคลื่อนให้เกิดผลสำเร็จ

ในอดีตองค์กรธุรกิจมักจะทำงานในรูปแบบการบริจาคที่เป็นการทำงานเพื่อสังคม (CSR) เป็นโครงการ ๆ ไป อาจไม่ได้มีการติดตามผลการทำงานและประเมินผลสัมฤทธิ์อย่างใกล้ชิด

รวมถึงใช้รูปแบบ “มูลนิธิ” ทำกิจการสาธารณกุศลเพื่อสังคม โดยบริษัทอาจให้เงินตั้งมูลนิธิเป็นการเริ่มต้น หรือบริษัทบริจาคผ่านมูลนิธิต่าง ๆ หรือเจ้าของธุรกิจจัดตั้งมูลนิธิขึ้น และบริจาคเงินของตนเองเพื่อการกุศล

แต่ในภาวะเศรษฐกิจมีปัญหา การขอเงินบริจาคก็ยากเป็นเงาตามตัว ทำให้พันธกิจของมูลนิธิเพื่อ ESG ต้องชะลอหรือยกเลิกไปโดยปริยาย

ส่วนตัวจึงมองว่ารูปแบบการใช้มูลนิธิเพื่อบรรลุเป้า ESG จึงไม่น่าจะเป็นรูปแบบที่ดีและเหมาะสมในปัจจุบัน และเสนอว่าควรใช้กลไกมูลนิธิที่มีอยู่ในองค์กรธุรกิจปัจจุบัน ร่วมกันกับองค์กรต่าง ๆ จัดตั้งก็เป็น “วิสาหกิจเพื่อสังคม” ในการขับเคลื่อนพันธกิจเรื่อง ESG หรือองค์กรที่ยังไม่มีมูลนิธิก็ควรพิจารณาตั้งเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมทำงานแทนจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า

ผมชวนคิดว่า ถ้ามูลนิธิที่ปัจจุบันมุ่งทำธุรกิจเพื่อสังคม หรือเพื่อสาธารณกุศลในประเทศไทยทั้งหมด ที่มีเงินกองทุนมากพอสมควร มาร่วมกันจัดตั้งเป็นบริษัทวิสาหกิจเพื่อสังคม มาทำงานเพื่อสังคมส่วนรวม แล้วมาประเมินดูว่าจะเกิดผลดีกับประเทศชาติและสังคมและบรรลุพันธกิจเรื่อง ESG ได้ดีกว่าหรือไม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการจัดตั้งที่มีบริษัทวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ไม่ได้เอากำไรมาแบ่งปัน เพื่อใช้ความมีประสิทธิภาพของภาคเอกชนเข้ามาบริหารจัดการ ไม่ว่าด้านเงินทุน บุคลากร การตลาด กฎหมาย ที่จะขับเคลื่อนให้วิสาหกิจเพื่อสังคมเหล่านั้นมีผลกำไร หรือรายได้ และขยายกิจการ โดยมีพันธมิตรเอกชนในภาคส่วนต่าง ๆ ในการทำธุรกิจต่าง ๆ ตามเป้าหมายของตนร่วมกับชุมชน ก็จะได้รับประโยชน์เพื่อบรรลุเป้าหมายและพันธกิจในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย และความโปร่งใสในการกำกับดูแลกิจการได้