ภาษี : ความรับผิดชอบ ของพรรคการเมือง

ภาษี พรรคการเมือง
คอลัมน์ : ระดมสมอง
ผู้เขียน : ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้นำเสนอบทความพิเศษ “16 ความคิดเพื่อชีวิตคนไทย : สิ่งที่เป็นปัญหาที่เห็น และประเด็นชวนคิด” ในทรรศนะของนักวิชาการต่อการพัฒนาในมิติต่าง ๆ ของไทย

ขณะที่สังคมไทยกำลังพูดคุยและถกเถียงในประเด็นนโยบายสาธารณะกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ที่บรรดาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งต่างนำเสนอนโยบายด้านต่าง ๆ แก่ประชาชน

“ประชาชาติธุรกิจ” ขอนำบทความเรื่อง “ภาษี : ความรับผิดชอบของพรรคการเมือง” โดย ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มานำเสนอดังนี้

สิ่งที่เป็น

ในช่วงฤดูหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 นี้ เราเห็นการแข่งขันทางนโยบายอย่างคึกคัก การที่พรรคการเมืองต่าง ๆ มีเป้าประสงค์ในการช่วยเหลือปากท้องประชาชน นับเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม อย่างไรก็ตาม หลายนโยบายมีแนวโน้มจะเพิ่มภาระการคลังอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า รัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน และความยั่งยืนทางการคลังจะเป็นอย่างไร

การที่รัฐจะหางบประมาณมาสนับสนุนนโยบายต่าง ๆ นั้น คงหนีไม่พ้นการพึ่งพารายได้ภาษี ซึ่งคิดเป็นราว 90% ของรายได้ทั้งหมดของรัฐบาลไทย

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ความรับผิดชอบต่อความยั่งยืนทางการคลัง พรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่ได้เสนอแนวทางการหางบประมาณสนับสนุนที่สะท้อนความเป็นไปได้จริง เราแทบไม่เห็นการพูดถึงนโยบายภาษีในแง่มุมที่นอกเหนือไปจากการลดภาษี หรือการขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี

ความรับผิดชอบต่อความยั่งยืนทางการคลังนี้ อาจเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนหนึ่งมองหาอยู่จากพรรคการเมือง ผมจึงขอฝาก 3 ประเด็นสำคัญจากงานวิจัย ซึ่งสะท้อนความท้าทายของระบบภาษีไทย และข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบันดังนี้

รายได้ภาษีของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยรายได้ภาษีลดลงจาก 16% ต่อ GDP ในปี 2556 มาเป็นราว 14% ต่อ GDP ในปัจจุบัน ซึ่งการลดลงนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนวิกฤตโควิด

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของเศรษฐกิจไทยที่พรรคการเมืองต่าง ๆ หลีกเลี่ยงการพูดถึงมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ VAT เป็นแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ และเป็นหนึ่งในเครื่องมือนโยบายของรัฐที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของครัวเรือนและธุรกิจมากที่สุด

ทั้งนี้ นับตั้งแต่วิกฤตโควิดสิ้นสุดลง รัฐบาลหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ได้ปรับขึ้นอัตรา VAT เพื่อรองรับภาระการคลังที่เพิ่มขึ้น ส่วนประเทศไทย VAT มักเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่รัฐบาลไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันพิจารณาเช่นกันเมื่อต้องการเพิ่มรายได้

การจัดสรรภาระภาษีอย่างเป็นธรรมมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในมุมมองผู้เสียภาษี ในปัจจุบันมนุษย์เงินเดือนเป็นผู้แบกรับ 80% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยมีการกระจุกตัวเป็นอย่างมาก ผู้ที่เสียภาษีเงินได้มีสัดส่วนเพียง 10% ของกำลังแรงงานทั้งหมด

ยิ่งไปกว่านั้น ราว 80% ของภาษีเงินได้นี้มาจากมนุษย์เงินเดือน ซึ่งสัดส่วนนี้สูงกว่าสัดส่วนรายได้ของมนุษย์เงินเดือนในบัญชีรายได้ประชาชาติที่ประมาณ 50% เป็นอย่างมาก

ปัญหาที่เห็น

จากข้อเท็จจริงประการแรกที่พบ ว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รายได้ภาษีของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนสำคัญของพัฒนาการนี้อาจมาจากมาตรการภาษีต่าง ๆ ของรัฐเอง ซึ่งในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้แทบทั้งหมดเป็นในลักษณะของการลดภาษี การยกเว้นภาษี และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ เราแทบไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีสำคัญที่เพิ่มรายได้ให้รัฐ

สำหรับประการที่สอง เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น อัตรา VAT ที่ 7% ถือเป็นระดับที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีระดับการพัฒนาและโครงสร้างภาษีใกล้เคียงกับไทย อย่างไรก็ตาม VAT เป็นภาษีที่กระทบประชาชนในวงกว้าง และยังจัดเป็นภาษีถดถอย

นั่นคือผู้มีรายได้น้อยมีแนวโน้มจะมีสัดส่วนภาระภาษี VAT ต่อรายได้มากกว่าผู้มีรายได้สูง กฎเกณฑ์ VAT ยังสามารถส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าระบบภาษีของ SMEs ด้วย การปรับนโยบาย VAT จึงต้องวางแผนควบคู่กับการพิจารณาผลกระทบต่อการบริโภค การชดเชยผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย และการตัดสินใจเข้าระบบภาษีของธุรกิจ

สุดท้ายเรื่องการแบกรับภาษีของมนุษย์เงินเดือน การจัดสรรภาระภาษีให้เป็นธรรมมากขึ้นนี้ จำเป็นต้องจัดการทั้งการวางนโยบายของรัฐเองที่เลือกลดภาษีให้แก่บางแหล่งรายได้ หรือให้สิทธิประโยชน์แก่บางกิจกรรมเศรษฐกิจ และความแพร่หลายของการอยู่นอกระบบภาษี

ซึ่งการจะดึงธุรกิจเข้าระบบภาษีอย่างยั่งยืนจะต้องอาศัยไม่เพียงแต่การเพิ่มความสามารถในการตรวจสอบรายได้เท่านั้น แต่ยังต้องพึ่งพาการทำให้กฎระเบียบภาษีง่ายขึ้น และการทำให้ธุรกิจเห็นคุณค่าของการอยู่ในระบบภาษี

การขยายฐานภาษีในทั้ง 2 มิตินี้ จะเปิดโอกาสให้รัฐสามารถลดอัตราภาษีเงินได้ลง เพื่อแบ่งเบาภาระภาษีของผู้เสียภาษีในปัจจุบันได้ด้วย

ประเด็นชวนคิด

พรรคการเมืองมีแผนการเพิ่มรายได้ภาษีของประเทศอย่างไร จำเป็นต้องปรับนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ และมีแนวทางการกระจายภาระภาษีให้เป็นธรรมมากขึ้นระหว่างกลุ่มคนอาชีพต่าง ๆ ได้อย่างไร

นโยบายภาษีถือเป็นโจทย์ยากทางการเมือง การปรับเปลี่ยนนโยบายแต่ละครั้งมักจะมีผู้เสียประโยชน์ชัดเจน ในขณะที่ผู้ได้ประโยชน์มักจะมีเสียงไม่ดังนัก อย่างไรก็ดี นโยบายภาษีสามารถเป็นเครื่องสะท้อนความสามารถและความจริงใจของพรรคการเมืองได้

หากเราได้เห็นนโยบายของแต่ละพรรคในประเด็นนโยบายภาษีนี้ จะทำให้คนไทยสามารถประเมินความรับผิดชอบของพรรคการเมืองได้ดีขึ้น มาช่วยกันสร้างการเมืองที่รับผิดชอบต่อสังคมกันครับ