เร่งงบฯปี”63 แก้โจทย์ประเทศ

บทบรรณาธิการ

แม้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 วงเงินรวม 3 ล้านล้านบาท จะมียอดเบิกจ่ายสูงเป็นประวัติการณ์ 2.93 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 97.65% ของงบฯรายจ่ายทั้งหมด ต่ำกว่าเป้าหมายแค่ 2.35% แต่งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งล่าช้ากว่าปกติ ส่งผลต่อเนื่องทำให้เงินที่จะอัดฉีดเข้าระบบล่าช้าตามไปด้วย

หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วาระแรกระหว่างวันที่ 17-18 ตุลาคม 2562 นี้ จากนั้นจะมีการพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ตามขั้นตอน เบ็ดเสร็จคาดว่า พ.ร.บ.งบฯปี 2563 น่าจะมีผลบังคับใช้ภายในกุมภาพันธ์ 2563

จากปกติการพิจารณางบประมาณรายจ่ายจะแล้วเสร็จและประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันแรกของปีงบประมาณใหม่ เท่ากับงบประมาณป 2563 ล่าช้ากว่าปกติอย่างน้อย 4 เดือนเต็ม ส่วนหนึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนทางการเมือง รัฐบาลจากการเลือกตั้งเพิ่งเข้ารับไม้ต่อบริหารประเทศจากรัฐบาล คสช.ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในและนอกประเทศที่เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง สงครามทางการค้า กับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลกระทบทำให้ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวชะลอตัว การจัดซื้อจัดจ้างและการลงทุนภาครัฐจึงกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในการกระตุ้น ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ การประกาศใช้กฎหมายงบประมาณฉบับใหม่โดยเร็วที่สุดจึงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ

ที่สำคัญเมื่อ พ.ร.บ.งบประมาณฯผ่านการพิจารณาของสภาตามขั้นตอนแล้ว รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ระดับกรม กระทรวง หนวยงานรัฐวิสาหกิจ ต้องทำงานแข่งกับเวลา เพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่าย ให้เม็ดเงินจากการจัดซื้อจัดจ้างและการลงทุนภาครัฐไหลเข้าสู่ระบบ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อได้ต้องเร่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการลงทุนโครงการขนาดใหญ่อย่างเมกะโปรเจ็กต์โครงสร้างพื้นฐานซึ่งหลายโครงการยังล่าช้า ไม่เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้คืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้ภาคเอกชนทั้งไทย ต่างชาติกล้าตัดสินใจลงทุน

เพราะท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เอื้อ เอกชน ประชาชนชะลอการบริโภค การใช้จ่ายและการลงทุน หากรัฐไม่กระตุ้นเร่งเร้า หรือสวมบทบาทเป็นหัวหอกเร่งเครื่องยนต์ลงทุน รอให้เอกชนเป็นทัพหน้า นอกจากไม่ได้แก้โจทย์ประเทศแล้ว เศรษฐกิจในภาพรวมที่กำลังมีปัญหาจะยิ่งย่ำแย่ การบริโภคการลงทุนโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ที่ยังชะลอตัวจะยิ่งฟุบ ถึงต้นปีหน้าก็ยังมองไม่เห็นอนาคต