คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ โดย ประเสริฐ จารึก
ประเทศไทย 2020 ต้องสตรองเบอร์ไหน ถึงจะ “เอาอยู่” กับมรสุมที่กำลังรุมเร้า ทั้งศึกใน-ศึกนอก
วิกฤตฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ยังไม่ทันจางดี สถานการณ์การเมืองก็เริ่มมีสัญญาณคุกรุ่น
- BAM สรุปร่วมทุนแบงก์ตั้ง JV AMC ไม่เกิน พ.ค.นี้ ทุนประเดิม 1,000 ล้าน
- คืบหน้าอิตาเลียนไทย ยอมจ่ายแล้ว เงินเดือนลูกจ้าง 6.6 พันคน
- สนามราชมังฯ ไปยังไง เช็กวิธีเดินทาง ที่จอดรถ ไทย พบ เกาหลีใต้ วันนี้
หลังเสร็จศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ “รัฐบาลประยุทธ์” ยังหายใจไม่ทั่วท้องดี ก็เจอกรณีการระบาดของ “แฟลชม็อบ” ในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่เอา “ลุงตู่”
ขณะที่สภาพเศรษฐกิจที่ผ่านมา ก็ตกอยู่ในสภาวะ “ชะลอตัว” ต่อเนื่องมาถึงปี 2563 และมีทีท่าจะฟุบยาว กลับหัวตีลังกาดิ่งลงพสุธา
จาก 3 ปัจจัยเสี่ยง งบประมาณ 2563 ที่ออกช้า ปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก และไวรัสโควิด-19
ธนาคารแห่งประเทศไทยพยากรณ์เศรษฐกิจไทย ทั้ง 3 ปัจจัยสถานการณ์ยังไม่นิ่ง
ส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ มีความเป็นไปได้ที่ GDP จะโตต่ำ 1% ต่ำจากเดิมคาดการณ์ 2.8%
ด้านสภาพัฒน์คาดการณ์ปีนี้อาจจะเห็นคนว่างงานเพิ่ม จากธุรกิจที่ทยอยเลิกกิจการ
ดูแล้วปีนี้ แทบไม่มีข่าวดีสำหรับประเทศไทยเลย
ยิ่งพิษ “โควิด-19” ระบาดหนักในหลายประเทศ ทั้งเอเชียและยุโรป ไม่ใช่แค่ประเทศจีน
ยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกที่ไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งสะท้านหนักเข้าไปอีก
ไม่ต่างจากสถานการณ์ของประเทศไทย ที่ “โควิด-19” กำลังกลายเป็นโดมิโนทุบธุรกิจเป็นวงกว้าง
ในเมื่อประเทศพึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวและส่งออกเป็นหลัก
เมื่อนักท่องเที่ยวหายวับไปกับตา ทำให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องซบเซาตามไปด้วย
ภาพที่เห็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตเงียบเหงา ศูนย์การค้าลักเซอรี่ในเมือง คนเดินบางตา
เมื่อคนไม่มี พนักงานร้านค้าในห้าง นอกห้างก็ขายของไม่ได้ รายได้ที่เคยได้วูบหนัก จึงหนีไม่พ้นที่เจ้าของธุรกิจต้องลดค่าใช้จ่าย เพื่อประคองตัวเองให้อยู่รอดท่ามกลางวิกฤต
ที่เป็นข่าวครึกโครม โรงแรมแบรนด์ดัง ตระกูลใหญ่ ที่ใช้กลยุทธ์ให้พนักงานสมัครใจใช้สิทธิ์การลาแบบไม่รับค่าจ้าง เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อรัดเข็มขัด
ขนาดยักษ์ใหญ่ในตลาดยังสะเทือน แล้วโรงแรมระดับกลาง ระดับล่างที่สายป่านไม่ยาวพอ จะอยู่กันอย่างไร
วันก่อนเจอเพื่อนเป็นเซลส์ขายน้ำผลไม้ให้กับโรงแรมเล่าให้ฟังว่า
ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดีจริง ๆ ยอดขายตกทุกเดือน ยิ่งคนแพนิกไวรัสโควิด-19 ทำให้ยอดขายลดลงมากในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา
เพราะผู้ประกอบการโรงแรมเริ่มปิดบริการ ที่เห็นชัดมากในพัทยาและย่านสมุทรปราการที่รับนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ตอนนี้มีปิดบริการชั่วคราวไปแล้ว และมีขอยืดเวลาการชำระหนี้ออกไปอีก 3 เดือน
ส่วนเพื่อนอีกคนทำบัญชีให้กับโรงแรมแห่งหนึ่ง เป็นโรงแรมระดับ 6 ดาว กระจายอยู่ในกรุงเทพฯและภูเก็ต ที่มีลูกค้าจากจีนและยุโรปมาพักเป็นส่วนใหญ่
ก็เปรยให้ฟัง…ตอนนี้ลูกค้าที่บุ๊กกิ้งไว้ขอยกเลิกแล้ว 50% หลังเกิดการระบาดโวรัสโควิด-19 ในช่วงเดือนเศษ ๆ นี้
แต่เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้า เจ้าของโรงแรมจำต้องคืนเงินให้ลูกค้า เพื่อซื้อใจให้เขากลับมาอีก หลังวิกฤตคลี่คลาย
ขณะเดียวกันก็หาช่องทางหารายได้มาทดแทนกับเงินที่คืนลูกค้าไป
มีจัดโปรโมชั่นจูงใจให้คนเข้ามาพัก เช่น ลดค่าห้องพัก ลดค่าอาหาร และบริการอื่น ๆ รวมถึงหาตลาดใหม่มาทดแทน เช่น ลูกค้าในประเทศเพื่อนบ้าน
ไม่ใช่แค่ท่องเที่ยวที่สำลักพิษโควิด-19 วงการ “ออร์แกไนซ์-พริตตี้” ก็หนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน เมื่อธุรกิจงด เลื่อนอีเวนต์ยาว รายได้ที่แพลนไว้จะเข้ามาในเดือนนี้ เดือนนั้น ก็ถูกแคนเซิลไม่มีกำหนด
ส่วนภาคการขนส่งก็ระทมทุกโหมด ยิ่งสายการบินยิ่งโคม่า เมื่อนักท่องเที่ยวหลายประเทศงดการเดินทาง สายการบินต้องลดเส้นทาง นักบิน แอร์โฮสเตสก็ตกงานกันหลายชีวิต
ส่วนผู้ที่จองตั๋วโดยสาร แม้สายการบินให้เลื่อนการเดินทางได้ถึงสิ้นปี แต่ดูแล้วในอารมณ์นี้ คงอยากได้เงินคืนมากกว่าชดเชยเป็นเวลา เพราะไม่รู้ว่าเลื่อนไปแล้ว เมื่อถึงเวลาจริง ๆ จะได้ไปหรือไม่ เพราะทุกอย่างถูกเซตไว้หมดแล้ว วันลา วันว่างคนในครอบครัว
หรือบางคนเลื่อนตั๋วได้ แต่จำต้องยอมเสียค่าที่พักที่จองไว้ที่ต่างประเทศ เพราะมีบางโรงแรมที่ไม่ได้คืนเงินให้ลูกค้า หรือได้คืนก็แค่บางส่วนเท่านั้น
ตอนนี้สะเทือนกันทั้งประเทศ ทุกวงการ
นี่ยังไม่พ้นไตรมาสแรกของปี 2563 ก็หน้าเหี่ยว หน้าแห้งกันเป็นแถว
ถ้าหากสถานการณ์ลากยาวไปอีก ไม่ใช่แค่ 6 เดือนอย่างที่ประเมินกัน
คงจะ “เผาจริง” อย่างที่กูรูเศรษฐกิจว่าไว้ ถ้ารัฐบาลไม่แอ็กชั่น แก้ปัญหาให้ตรงจุด
ยิ่ง “ผีน้อย” หมื่นชีวิต หนีโควิด-19 จากเกาหลีใต้ ซึ่งมีสถิติคนติดเชื้อพุ่งเป็นรายวัน
ยิ่งทำให้คนไทยหลอนกันทั้งประเทศ !
หากรัฐบาลไม่ตั้งรับให้ดี ๆ