โควิดไม่กระจอก รัฐบาลกระจอกกว่า

REUTERS/Chalinee Thirasupa/File Photo
สามัญสำนึก
สมถวิล ลีลาสุวัฒน์

ศุกร์ 13 สิงหาฯ 2564 สถิติถูกทำลายอีกครั้ง เมื่อกระทรวงสาธารณสุขรายงานสถานการณ์มีผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งปรู๊ดถึง 23,418 ราย

ทั้งคาดการณ์อีกว่า อาจทะลุไปถึง 45,000 ราย เอาล่ะสิ !

สังเกตจากนโยบายรัฐบาลที่จด ๆ จ้อง ๆ ประกาศมาตรการขยายเวลา “ล็อกดาวน์” ออกไปทุก 14 วัน จนคุ้นชิน

มีผู้ใหญ่กล่าวไว้ “ความเบื่ออาจไม่ร้ายแรงเท่าความเคยชิน ถ้าคนเราชินเมื่อไหร่ มักจะตายด้าน และไม่แยแส หรือสนใจสิ่งใด ๆ จะกลายเป็นสังคมเมินเฉย หรือเห็นแก่ตัวอย่างไม่รู้ตัว”

ขณะที่สถานการณ์นอกระบบเราไม่รู้จริง ๆ ว่า คนติดโควิดมีกี่คนกันแน่

แต่ไวรัสร้ายสายพันธุ์ดุที่รัฐมนตรีบางคนบอกว่า “โควิดกระจอก” ขอยืนยันเลยว่า โควิด-19 ไม่กระจอกนะ เพราะมีการพัฒนาและวางกลุ่มเป้าหมายชัดเจน โดยพยายามอัพเกรดตัวเองเป็นสายพันธุ์ที่ต่อสู้กับวัคซีนได้แบบสูสี มันมาหนึ่ง วัคซีนต้อง 2 หรือ 3

ปัจจุบันต้องยอมรับว่า โควิดอยู่รอบตัวเราแล้ว และบุกเข้าถึงบ้าน เข้าถึงครัวเรือน ติดกันงอมแงมทุกตรอกซอกซอย

เฉพาะเครือญาติสายเลือดของผู้เขียนก็ติดอย่างไม่ทันตั้งตัวไปแล้วถึง 6 คน เศร้ามาก เมื่ออาม่ากับยายติดด้วย ขณะที่ท่านทั้งสองอายุเกิน 80 ปี ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงอย่างที่รู้กันว่า “โควิดชอบพรากชีวิตคนแก่กับคนอ้วน”

ที่อายุน้อยสุดเป็นเหลนสาววัยแค่ 9 ขวบ ดีที่เด็กมีภูมิต้านทาน แม้จะซูบผอม และซึมไปบ้าง

ทั้งหมดเข้ารับการรักษาอยู่ในระบบแล้ว มี 4 คนคือ ยาย หลานชาย หลานสะใภ้ และเหลน ขอเลือกรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ภายใต้รูปแบบ Home Isolation

แต่กว่าจะติดต่อเข้าระบบได้ก็เหนื่อยใจ ท้อแท้ และโกรธชังระบบสาธารณสุขไทยเอามาก ๆ

ทั้ง ๆ ที่ทุกคนรู้สึกตัวเองเป็นพลเมืองที่ดี เสียภาษีเต็มหน่วย ไม่ทิ้งขยะเกลื่อนถนน ไม่บ่นตัดพ้อเรื่องเล็กเรื่องน้อย อยู่อย่างมีสติ เข้าใจโลก เข้าใจสังคม

แต่วันนึงภัยมาถึงตัว กลับรู้สึกเคว้ง ขาดความมั่นใจ เหมือนผงเข้าตาตัวเอง แต่เขี่ยออกไม่ได้

ส่วนอีก 2 นอนใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ รอแค่ปาฏิหาริย์ เพราะมีโรคประจำตัว ถือว่าเสี่ยงสูงสุด

ทุกคนในครอบครัวทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจ (ให้นิ่ง)

เมื่อเรามีประสบการณ์ตรงจากสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เรารู้เลยว่า ทำไมเครื่องด่ารัฐบาลเคลื่อนที่ คนถึงชอบกด LIKE กด SHARE กันมากกกกกกก

ในมุมเดียวกัน รู้สึกเห็นใจ “นักธุรกิจ” ที่ลงทุน มีโรงงาน มีคนงาน ต้องเจอภาวะเดี้ยงแบบพูดไม่ออก คือจำยอมต่อสถานการณ์โรคระบาดก็จริง

แต่ทำไมต้องจำยอมกับสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจบริหารประเทศ

ที่บริหารโดยไม่บริหาร

กรณี “โควิด” ทุกคนรังเกียจ พร้อมยกการ์ดสูง เพื่อป้องกันตัวเอง เป็นการป้องกันโดยปัจเจก

แต่กรณี “วัคซีน” คือการป้องกันโดยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

ผู้จัดหาคือ “รัฐบาล” จะเป็นหน่วยไหน องค์กรไหนก็สุดแล้วแต่

แต่หน้าที่คือ ต้องรีบจัดหา จัดระบบ จัดระเบียบ ให้เร็ว ให้ทุกคนได้เข้าถึงวัคซีนเร็วที่สุด

แต่แล้วก็ไม่ใช่ คนส่วนใหญ่ต่างรอวัคซีน รอแล้วรอเล่า จนเกิดสงครามแย่งฉีดวัคซีน ที่บางคนบอกว่า เห็นคนเยอะ ๆ ที่ศูนย์บางซื่อนั้น เป็นเพราะมุมกล้อง มีปากก็พูดกันไป แต่บารมีคนพูดกลับถดถอยลดลงแทบไม่เหลือราคาแล้ว
วัคซีนกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ที่ทะเลาะกันตั้งแต่บนยันล่าง

เหมือนคนไทยถูกเลี้ยงไข้ ให้เศษเนื้อแล้วไปแย่งกันเอง

ภาวนาขอให้วัคซีนบริจาคยี่ห้อ ไฟเซอร์ (Pfizer) จำนวน 1.5 ล้านโดส และจะได้เพิ่มอีก 1 ล้านโดสนั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขได้ทำการจัดสรรและกระจายอย่างทั่วถึงเทอญ