จ๊อบส์ดีบีเตรียมพร้อมนักศึกษา หางานท่ามกลางสงครามคนเก่ง

ดวงพร พรหมอ่อน
JobsDB

สถานการณ์ในปัจจุบันที่ผู้หางานต้องเผชิญกับสภาวะที่ไม่แน่นอนของเศรษฐกิจรอบด้าน รวมถึงโลกแห่งการทำงานยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อพิจารณาจากรายงานแนวโน้มสถานการณ์จ้างงาน ผลตอบแทนและสวัสดิการปี 2565-2566 พบว่าในปี 2565 ที่ผ่านมา เกือบครึ่งของบริษัทที่ตอบแบบสำรวจที่จัดทำโดยจ๊อบส์ดีบี (JobsDB) มีการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่

ด้วยเหตุนี้ จ๊อบส์ดีบี (JobsDB) จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ เปิดโอกาสให้กับนักศึกษาได้เรียนรู้และเสริมทักษะ กับโครงการ “เตรียมความพร้อมสู่โลกการทำงาน กับ จ๊อบส์ดีบี งานดี…อะไรก็ดี” (University On-Ground Activation) ที่สอดคล้องกับพันธกิจในการสร้างแพลตฟอร์มที่เป็นสื่อกลางช่วยเหลือทั้งผู้ประกอบการและผู้หางาน

โดยเฉพาะผู้หางานมือใหม่และนักศึกษาทั่วประเทศให้มีความพร้อมในการคว้าโอกาสงานที่ใช่และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ

จับคู่ผู้ประกอบการและคนหางาน

“ดวงพร พรหมอ่อน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์การจ้างงานขององค์กรยักษ์ใหญ่และผู้ประกอบการทั้งหลายผันแปรไปตามพฤติกรรมผู้บริโภค ความต้องการคนเก่ง คนดี มีทักษะ ก็จะปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี

สำหรับจ๊อบส์ดีบี ถือเป็นแพลตฟอร์มหางานที่ไม่ใช่เครื่องมืออำนวยความสะดวกสำหรับผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังเป็นพาร์ทเนอร์ให้กับเหล่าผู้หางาน โดยเป็นสื่อกลางที่ไม่เพียงแต่ช่วยจับคู่ผู้ประกอบการและผู้หางานที่มองหาแล้ว แต่ส่งเสริมและผลักดันผู้หางานในแง่ของการให้ความรู้เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้นในทุกชั่วขณะอีกด้วย

กิจกรรมเตรียมความพร้อมสู่โลกการทำงานกับ จ๊อบส์ดีบี งานดี…อะไรก็ดี ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี รวมทั้งได้รับการยอมรับจากสถานศึกษามากมาย ที่ต้องการจับมือกับเราเพื่อให้จ๊อบส์ดีบีได้มีโอกาสแชร์ข้อมูลและคำแนะนำแก่น้อง ๆ นักศึกษาให้เข้าถึงสถานการณ์การหางานปัจจุบัน

เด็กจบใหม่หางานท่ามกลาง talent war

“ดวงพร” กล่าวด้วยว่า 7 ใน 10 ของบริษัทขนาดใหญ่มีการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี และมากกว่าครึ่งของบริษัทขนาดใหญ่จ้างนักศึกษาฝึกงานโดยพิจารณาจาก 3 หลักเกณฑ์หลัก ได้แก่ การสัมภาษณ์งาน, ทัศนคติต่องาน และสาขาที่สำเร็จการศึกษา

“เราจึงมุ่งให้ความรู้นักศึกษาที่กำลังจะเป็นบัณฑิตจบใหม่ พร้อมแนะแนวทางการหางานท่ามกลาง talent war ที่เข้มข้นขึ้น ด้วยทิศทางที่ถูกต้อง ตรงเป้าหมาย เพื่อได้งานที่ตรงใจและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ”

โดยปัจจุบัน จ๊อบส์ดีบีได้ร่วมงานกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศแล้วกว่า 20 แห่ง อาทิ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และวิทยากรมากประสบการณ์ อาทิ ดร.พิมพวัฒน์ กมลศิริ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาองค์กร จากบริษัท ไออีคิว เซนเตอร์ จำกัด ที่ได้รับเชิญมาร่วมอัปเดตแนวโน้มตลาดงานและสายงานที่เป็นที่ต้องการ

แนะแนวการรู้จักและพัฒนาตัวเองให้พร้อมเข้าสู่โลกการทำงาน การเขียนเรซูเม่อย่างมืออาชีพ และแนะนำเคล็ดลับสัมภาษณ์งานระดับมือโปร

ทั้งนี้ ภายในงาน ยังมี เรซูเม่คลินิก ที่มีผู้เชี่ยวชาญจากจ๊อบส์ดีบี มาตรวจทานเรซูเม่ของน้อง ๆ นักศึกษาที่สนใจ รวมถึงบูธกิจกรรมให้ร่วมสนุก พร้อมสร้างแรงบันดาลใจปลุกไฟในการสมัครงานอีกมากมาย สำหรับมหาวิทยาลัยที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมวางรากฐานสู่ความสำเร็จของบัณฑิตจบใหม่ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ [email protected]

6 สิ่งที่นายจ้างมองหาจากเด็กจบใหม่

1. เรซูเม่ ที่กระชับและตรงประเด็น

เพราะมีคนมากมายพร้อมยื่นใบสมัครในตำแหน่งที่เราสมัครงานอยู่ เพราะฉะนั้นเรซูเม่ของเราควรจะเป็นเรซูเม่ที่กระชับและชัดเจน ระบุประสบการณ์ที่โดดเด่นที่จะสามารถสื่อถึงความสามารถที่เรามีได้เป็นอย่างดี

สร้างความประทับใจด้วยวิธีเขียนแบบตรงประเด็นไม่เยิ่นเย้อ ควรเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ในรูปแบบที่มีตัวหนังสือไม่เยอะเกินไป จัดรูปแบบให้ดูสะอาดตา เน้นให้อ่านง่าย เข้าใจง่าย

2. ประสบการณ์ทำงานที่โดดเด่น

หลายคนอาจเถียงว่า เด็กจบใหม่จะไปมีประสบการณ์ได้อย่างไร แต่คำว่าประสบการณ์ในที่นี้หมายถึงการทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัย หรือจะเป็นงานอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นงานประกวดตามโครงการต่าง ๆ การฝึกงาน ทำงานพาร์ทไทม์ หรือโครงงานตอนเรียนที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน หากตรงกับงานที่เรากำลังจะสมัครก็สามารถนำมาเขียนในเรซูเม่ได้

3. การพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง

การลงเรียนคอร์สเรียนออนไลน์ต่าง ๆ ที่มีเปิดสอนทั่วไปในอินเตอร์เน็ท เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นายจ้างเห็นว่าเราเป็นคนที่ไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง ยิ่งคอร์สไหนที่เมื่อเรียนจบแล้วได้รับใบ certificate ด้วย ยิ่งเป็นสิ่งที่จะนำไปอ้างอิงในเรซูเม่ได้เป็นอย่างดี

หรือจะลงเรียนคอร์สที่สอน soft skills ต่าง ๆ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะทุกวันนี้สิ่งที่นายจ้างมองหาคือคนที่มีสกิลความสามารถหลากหลาย พร้อมทำงานให้องค์กร และสามารถเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ สำหรับคนที่มี soft skills อัดแน่นเต็มที่แล้ว พร้อมจะเริ่มงาน สามารถค้นหางานตำแหน่งต่าง ๆ ใน jobsDB ได้

4. เชี่ยวชาญด้านการใช้เทคโนโลยี

ปัจจุบัน การประชุมออนไลน์เป็นเรื่องปกติมาก แม้แต่การทำงานบางขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนงาน การสั่งงาน หรือส่งงาน ก็อาจจะทำงานผ่านโปรแกรมออนไลน์

จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากที่นักศึกษาจบใหม่จะต้องมีพื้นฐานการใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นอย่างดี อาจจะลองใช้เล่นกับเพื่อนและฝึกเรียนรู้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ว่าโปรแกรมอย่าง Zoom, Line, Google Meet, Google Drive สามารถทำอะไรได้บ้าง ก็จะเป็นผลดีเวลาสมัครงานได้

5. ทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

องค์กรส่วนใหญ่มักมองหาคนที่มองเห็นปัญหาแล้วนำมาวิเคราะห์ถึงต้นตอ ไปจนถึงการหาทางแก้ไขที่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดในระยะเวลาอันรวดเร็ว เป็นคนที่เจอปัญหาแล้วไม่ยอมแพ้ แต่ใช้วิธีวิเคราะห์เพื่อหาทางออกที่ลงตัวที่สุด

เด็กจบใหม่อาจจะฝึกทักษะด้านการคิดวิเคราะห์เพิ่มเติมได้จากเรื่องทั่วๆไปในชีวิตประจำวัน เช่น ข่าวที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ ถ้าเป็นเราจะแสดงออก ให้ทำอย่างไรให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด หรือจะเป็นการลองวางแผนวิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อยของตัวเอง หาทางพัฒนาตัวเองเพื่อให้ได้งานก็ได้

6. ทัศนคติที่ดี

หลาย ๆ บริษัทมองหาคนที่มี growth mindset มากกว่าคนที่เก่งมาก ๆ แต่ไม่ยอมปรับตัว เพราะนายจ้างเชื่อว่าคนที่มีทัศนคติเชิงบวก พร้อมปรับตัวให้ผ่านพ้นวิกฤตได้ตลอดเวลา คือคนที่จะสามารถทำงานภายใต้ภาวะไม่ปกติ

และสามารถช่วยนำพาบริษัทให้ไปรอดได้ด้วยวิธีการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ต่าง ๆได้ และยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนที่พร้อมจะเรียนรู้งานใหม่ๆและไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กลัวที่จะล้ม และยังสามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

5 วิธีที่คนหางานจบใหม่จะโดดเด่นกว่าใคร

ในเมื่อจะเข้าสู่สนาม ขึ้นสู่สังเวียนของการแข่งขันเรื่องงาน การทำตัวเองให้พร้อม มีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่าผู้ร่วมลงสนามคนอื่น ๆ ก็จะยิ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ผู้ว่าจ้างจะเลือกเรามากกว่าใคร อย่าลืมว่าการเตรียมพร้อมที่ดีย่อมนำมาซึ่งความมั่นใจ ถึงจะอยู่ในช่วงหางานจบใหม่ก็ไม่ต้องหวั่นใจ หากเราเก็บสกิลต่าง ๆ จนแน่นแล้ว ตำแหน่งงานในฝันย่อมเป็นจริงได้สักวันอย่างแน่นอน

1. เติมทักษะต่าง ๆ ให้รอบด้าน

ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย อย่าลืมเก็บเกี่ยวและสั่งสมทักษะต่าง ๆ ไปพร้อมกัน ทั้งเรียนทั้งเล่น โดยทักษะที่ว่าไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นเรื่อง hard skill เท่านั้น จะ soft skill ก็ได้ ขอแค่เป็นสิ่งที่สนใจ อยากจะพัฒนาหรือเติมตัวเองในด้านนั้น ๆ ให้เต็มมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเรื่องวิชาการเสมอไป แต่ขอแค่เป็นเรื่องที่มีหลักฐานหรือสิ่งที่พอวัดผลได้เป็นพอ

ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากคสนใจในงานเขียน การลงคอร์สเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนในหลาย ๆ รูปแบบก็เป็นช่องทางหนึ่ง หรือการฝึกเขียนตามบล็อก เขียนลงเฟสบุ๊ค เขียนไดอารีเล่าเรื่องราว ก็เป็นหนึ่งในการพัฒนาทักษะการเขียนให้แข็งแกร่งขึ้น โดยสิ่งเหล่านั้นถือเป็นหลักฐาน ที่คสามารถแนบมาในเรซูเม่ตอนสมัครงานได้ ถือเป็นสิ่งการันตีถึงความมุ่งมั่นและแสดงถึงหัวใจรักงานเขียนอย่างแท้จริง

2. เก็บทุกกิจกรรม การันตีว่ามีแพชชัน

พอพูดถึงแพชชัน บางคนอาจจะรู้สึกว่ากดดัน จริง ๆ แล้วแพชชันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องงาน เรื่องเรียนหรืออะไรที่จริงจัง อาจจะเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่คุณทำแล้วมีความสุข แล้วสามารถไดรฟ์คุณให้ไปต่อเพื่ออะไรบางอย่าง ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มต้นจากอะไร “การลอง” ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายและสุดแสนคลาสิกที่สุด

ขึ้นชื่อว่าเป็นการลอง ไม่มีอะไรผิดถูกอยู่แล้ว อย่างน้อยผลลัพธ์คุณก็ได้รู้แน่นอนว่าชอบหรือไม่ชอบ เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ไม่มีใครให้ได้ นอกจากการลงมือทำด้วยตัวเอง ถึงทำแล้วจะไม่ชอบ ในความไม่ชอบนั้นก็จำกัดชีวิตคุณได้ง่ายขึ้นหลายอย่าง

ระหว่างเรียนก็ลองทำกิจกรรมไปเรื่อย ๆ เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านั้นจะแสดงว่าให้เห็นว่าคุณเป็นคนหางานจบใหม่ที่พร้อมจะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เป็นหนึ่งในทักษะสำคัญที่องค์กรมองหาแน่นอน

3. ช่ำชองและชำนาญใดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ทั้งความช่ำชองและความชำนาญ เป็นสองสิ่งที่ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ อย่างระยะเวลาและการกระทำซ้ำ ๆ เป็นสำคัญ ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ภายใน 3 วัน 7 วัน ต้องฝึกฝนและทุ่มเทเพื่อให้ได้มา ขอให้มีเรื่องที่รู้สึกว่า “ช่ำชอง” สักหนึ่งอย่าง จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้

ไม่ว่าจะเป็น ชอบถ่ายรูปก็ไปให้สุด ศึกษาให้รอบด้าน ทฤษฎีให้แน่น ปฏิบัติให้เริ่ด หรือชอบทำอาหารก็ไปให้สุด ฝึกลงมือให้มากที่สุด ลงคอร์สเรียนเพิ่มหรืออะไรก็ว่าไป คือให้มีเรื่องที่รู้สึกว่า “เป็นที่สุด” ในชีวิตที่เราทำได้ชำนาญสักหนึ่งเรื่อง

ขอแค่มีสักเรื่องที่เป็นเฉพาะด้าน สิ่งนั้นก็จะ shine ให้ตัวเราโดดเด่นได้เองไม่ว่าจะไปที่ไหน ต่อให้จะเป็นเด็กหางานจบใหม่ แต่ถ้านำเรื่องที่มีความชำนาญไปพรีเซนท์ตอนสัมภาษณ์งานด้วยความมุ่งมั่น ต่อให้จะไม่ใช่ทักษะที่เกี่ยวข้องกับงาน เชื่อว่านายจ้างจะมองเห็นถึงความมุ่งมั่นและทุ่มเทในสิ่งที่รักได้ อย่าลืมว่าบนโลกนี้ไม่มีเรื่องไหนไร้สาระ หากมีหัวใจในรายละเอียดกับสิ่งเหล่านั้น

4. Resume and CV ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

เมื่อฝึกฝนทั้งเรื่องทักษะ กิจกรรมต่าง ๆ จนเกิดความชำนาญแบบเฉพาะด้านแล้ว อย่าลืมนำของดีของตัวเองทั้งหมดทั้งมวลนั้น มาใส่ไว้ใน resume หรือ CV ไว้ตอนสมัครงานด้วย เพื่อเป็นหลักฐานการันตีความเจ๋ง เพราะสิ่งเหล่านี้นี่แหละ ที่จะทำให้เด็กหางานจบใหม่อย่างเรา ๆ โดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมสายงานที่จบมาพร้อมกัน

คนอื่นอาจจะมีแค่สิ่งพื้นฐานทั่วไปอย่างเกรด รายวิชาและชื่อสถาบันที่จบมา แต่ถ้าคุณสร้างความแตกต่างด้วยความรู้นอกห้องเรียนเพิ่มไปในเรซูเม่ ก็เป็นอะไรที่ชวนดึงดูดไม่น้อย ที่สำคัญการทำ Resume หรือ CV ที่อ่านเข้าใจง่ายก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ไม่ต้องเขียนอะไรยืดยาว หรือดีไซน์ล้ำจนอ่านยาก เน้นอะไรที่ชัดเจนและเคลียร์ บอกถึงความสามารถและสกิลที่มีแบบตรงไปตรงมา ข้อนี้ก็จะช่วยได้

5. มั่นใจในความสามารถตัวเอง

เมื่อมีทั้งสี่ข้อด้านบนอย่างครบถ้วนแล้ว ถึงตรงนี้ก็เป็นเรื่องของจิตใจและทัศนคติของตัวเองล้วน ๆ ขอให้เห็นถึงคุณค่าของตัวเองเป็นที่ตั้ง เริ่มจากการเคารพตัวเอง ถ้าใจเราเข้มแข็ง อวัจนภาษาต่าง ๆ ที่แสดงออกไปย่อมแสดงถึงความมั่นใจโดยปริยาย ทั้งน้ำเสียง แววตา สีหน้าและคำตอบต่าง ๆ แน่นอนว่าผู้สัมภาษณ์งานย่อมสัมผัสถึงพลังบวกของเราได้แน่นอน

JobsDB