กรุงเทพฯ เสี่ยงจมบาดาลในอีก 50 ปี ไทยต้องย้ายเมืองหลวงหรือไม่?

น้ำท่วม กทม.

กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในมหานครที่เสี่ยงจมบาดาลภายใน 50 ปี ม.ธรรมศาสตร์ ชี้มาจาก 3 สาเหตุหลัก จำเป็นต้องย้ายเมืองหลวงหรือไม่? แนะปรับผังเมืองโดยไม่ “ทุบ รื้อ ถอน” เสริมแนวป้องกันริมแม่น้ำ 

วันที่ 10 เมษายน 2566 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไตรเทพ วิชย์โกวิทเทน อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SCI-TU) กล่าวว่า จากบทวิเคราะห์ผลกระทบจากภาวะโลกรวน (Climate Change) ของคณะวิทย์ มธ. เผยว่ากรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในมหานครที่มีความเสี่ยงจมบาดาลภายใน 50 ปี ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจาก 3 ปัจจัยคือ

    1. การทรุดตัวของชั้นดินเฉลี่ย 2-3 เซนติเมตรต่อปี
    2. น้ำทะเลหนุน
    3. การสูญเสียน้ำใต้ดินจากการใช้น้ำบาดาลในอดีต 

ซึ่งนอกจาก กทม.แล้ว ยังพบว่าเมืองหลวงหรือมหานครหลายแห่งของประเทศต่าง ๆ ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน อาทิ อินโดนีเซีย, ไนจีเรีย, รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา, รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา, รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา, รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา, บังกลาเทศ, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, อียิปต์

ซึ่งส่วนใหญ่มีทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับเส้นทางคมนาคมทางน้ำ ติดทะเล มีลักษณะเป็นเมืองท่า ที่มีความสำคัญง่ายต่อการเดินทางสัญจร การติดต่อค้าขายตั้งแต่อดีต ที่มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกัน และเป็นปัญหาที่หลายประเทศเร่งหาทางออก ซึ่งบางประเทศได้ตัดสินใจย้ายเมืองหลวง อาทิ อินโดนีเซีย

“จากการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาน้ำทะเลรุกคืบจากภาวะโลกรวน (Climate Change) และ 3 ปัจจัยเสี่ยงของมหานครที่เป็นเมืองท่าติดทะเลพบว่า การย้ายมหานครควรเป็นทางเลือกสุดท้าย เนื่องจากกระทบต่อประชาชนที่ต้องเคลื่อนย้าย และใช้งบประมาณที่สูงมากกับการจัดผังเมือง สร้างอาคาร ที่อยู่อาศัย และระบบสาธารณูปโภค”

Advertisment

ปรับผังเมืองโดยไม่ “ทุบ รื้อ ถอน”

โดยคณะวิทย์ มธ. มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับผังเมืองโดยยึดหลักไม่ “ทุบ รื้อ ถอน” ซึ่งเน้นการปรับฟังก์ชั่นการใช้งานประกอบด้วย 3 แนวทาง ได้แก่

    1. การลดพื้นที่อเนกประสงค์บริเวณชั้น 1 โดยใช้งานตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไป เพื่อลดผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมฉับพลัน
    2. การเพิ่มทางเดินลอยฟ้า (Sky walk) ที่เชื่อมจากอาคารออฟฟิศ เพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าโดยไม่ต้องเดินลุยน้ำ ซึ่งมีต้นทุนไม่สูงมาก ถ้าเทียบกับการรื้อผังเมืองเพื่อสร้างใหม่หรือการย้ายมหานคร
    3. การเสริมแนวคันกั้นน้ำประสิทธิภาพสูง ไม่มีร่องฟันหลอตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยา

ปลูกป่าชายเลนต้องติดตามต่อเนื่อง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไตรเทพกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมองถึงปัญหาของกลุ่มจังหวัดที่เป็นพื้นที่รอยต่อชายทะเลของภาคกลาง อาทิ กทม. สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ที่เริ่มเห็นผลกระทบจากการรุกคืบของน้ำทะเล และการกัดเซาะชายฝั่ง และทำให้สูญเสียพื้นที่บกตามแนวชายฝั่งไป 

ซึ่งการลงพื้นที่พบว่าแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งอย่างป่าชายเลนมีไม่มากพอที่จะทำหน้าที่ชะลอความแรงของคลื่น และเพิ่มการตกตะกอน จนนำไปสู่การเกิดแผ่นดินงอกใหม่ได้ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลนอย่างต่อเนื่อง แต่จากการศึกษาในพื้นที่พบว่า เมื่อจบขั้นตอนการปลูกแล้ว ไม่มีการดูแลติดตามผล

ป่าชายเลน ภาพจากคณะวิทย์ มธ.

Advertisment

ซึ่งปัญหาที่พบส่วนใหญ่คือ ปัญหาการระบายน้ำและของเสียภายในแปลงปลูก เนื่องจากบริเวณป่าชายเลนจะประกอบไปด้วยโคลนและตะกอน เมื่อสะสมเป็นเวลานานโดยไม่มีการไหลเวียนของน้ำ ทำให้เกิดการสะสมของสารอินทรีย์ในปริมาณมาก ดินตะกอนเกิดการเน่าเสีย จนส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของกล้าไม้ที่ปลูก และทำให้กล้าไม้ตายในที่สุด

จากการศึกษายังพบว่า มีการใช้แปลงปลูกป่าชายเลนหลายแห่ง เพื่อปลูกเวียน ปลูกซ้ำ ซึ่งทำให้พื้นที่ป่าชายเลนไม่ได้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน บริเวณชายฝั่งถูกกัดเซาะเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งคณะวิทย์ มธ. มีคำแนะนำสำหรับการปลูกป่าชายเลนคือ ต้องสร้างความตระหนักรู้กับประชาชนว่า เมื่อปลูกแล้วต้องติดตามการเติบโต หมั่นดูแลการไหวเวียนของน้ำ และระบบนิเวศแปลงปลูก

ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ควรทำต่อเนื่องและวัดผลจากพื้นที่ป่าชายเลนที่เพิ่มขึ้น แทนการวัดด้วยจำนวนต้นที่ปลูกใหม่ โดยแนะนำให้เสริมกิจกรรมการปักแนวไม้ไผ่ชะลอคลื่น เพื่อเพิ่มเกราะป้องกันแนวป่าชายเลนที่ปลูกใหม่ ทั้งการปลูกป่าชายเลนที่มีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และการเสริมแนวไม้ไผ่กันคลื่นก่อนปะทะแนวป่าปลูกใหม่ จะช่วยลดผลกระทบการกัดเซาะชายฝั่ง และลดความเสี่ยงน้ำทะเลหนุนของ กทม. และจังหวัดที่มีติดชายฝั่งทะเลได้อีกทางหนึ่ง

ป่าชายเลน ภาพจากคณะวิทย์ มธ.

แก้ PM 2.5 ลด Hot Spot

ขณะเดียวกัน คณะวิทย์ มธ. ยังห่วงค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และ PM 10 ที่กระทบการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาของภาคเกษตรกรรม และรองลงมาคือไฟป่า โดยเสนอไอเดียสำหรับการแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในระยะยาวที่เริ่มได้ทันที ด้วยการเพิ่มแรงจูงใจเพื่อหยุดการเผา ที่ช่วยลด Hot Spot อย่างยั่งยืน และไม่ควรหนุนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าปีต่อปี โดยคณะวิทย์ มธ. มีแนวทางเพื่อคืนสุขภาพปอดที่ดีให้แก่คนไทย 2 แนวทาง ดังนี้

    1. เพิ่มรางวัลจูงใจแก่ชุมชนที่ปลอดการเผา 100 เปอร์เซ็นต์ อาทิ ให้งบประมาณอุดหนุนการซื้อปุ๋ยในราคาพิเศษ, คูปองส่วนลดน้ำมันกลุ่มดีเซลสำหรับเกษตรกรในพื้นที่ บรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ควบคู่กับการลงโทษด้วยการจับปรับ ที่มีกระบวนการที่ล่าช้า และมีประสิทธิภาพน้อยกว่า
    2. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ อาทิ พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ‘ดอยหลวงเชียงดาว’ ที่มีแนวทางบริการจัดการที่น่ายกย่องให้เป็นแบบอย่างของวิถีชุมชนกับป่าและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คือเน้นสร้างการมีส่วนร่วม ให้คนในชุมชนร่วมเป็นเจ้าของ ตั้งกำลังคนในชุนชนทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในการทำแนวกันไฟอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มพื้นที่ชุ่มน้ำ ไม่ทำลายทรัพยากร และอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ จนกลายเป็นพื้นที่ป่าต้นแบบ ที่ไม่มีไฟป่าเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายปี ซึ่งทำให้ชุมชนสามารถต่อรองเพื่อของบประมาณเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยว จนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน

ไฟป่า การเผา

อย่างไรก็ดี เรื่องของสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นเรื่องสำคัญต่อการพัฒนาเมือง และคุณภาพชีวิตของประชากรโลก ซึ่งถือเป็นเทรนด์ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) จึงเป็นโอกาสของคนรุ่นใหม่ที่จะได้เติบโตบนเส้นทางสู่นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม

และเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ที่จะถูกยกระดับจากทีมเบื้องหลังในห้องปฏิบัติการ สู่ทีมงานแถวหน้าที่มีความสำคัญของทุกองค์กร ในการขับเคลื่อนการพัฒนาและการทำธุรกิจที่มุ่งสู่ Net Zero เพื่อชะลอความเสี่ยงจากภาวะโลกรวน (Climate Change) ร่วมกับหลายประเทศทั่วโลกที่มีภารกิจร่วมกันให้สำเร็จ     

ป่าชายเลน ภาพจากคณะวิทย์ มธ.