คณะวิทย์ มธ.ชี้ 5 เทรนด์กระตุ้นเศรษฐกิจ ปั้น Gen Z สู่ “ศิลปินวิทยาศาสตร์”

ศิลปินวิทยาศาสตร์

คณะวิทย์ ม.ธรรมศาสตร์ เผย 5 เทรนด์อัพเกรดงานวิจัยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ปี’66 โตทั้งระบบ รุกปั้น Gen Z สู่ “ศิลปินวิทยาศาสตร์” หนุนใช้วิทยาศาสตร์และไอเดียแก้ไขปัญหาผ่านงานวิจัยและนวัตกรรม

วันที่ 23 มีนาคม 2566 รองศาสตราจารย์ ดร.สุเพชร จิรขจรกุล คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ระยะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ซึ่งคณะวิทย์ มธ. เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่ม เกิดรายได้และเพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ ด้วย 5 เทรนด์ด้านวิทยาศาสตร์ ที่มีศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย สร้างเม็ดเงินหรือสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ พร้อมเปิดโชว์เคสของคณะวิทย์ มธ. เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังนี้

1.เทรนด์การแพทย์สุขภาพ ซึ่งประเทศไทยมีความโดดเด่นในเรื่องนี้ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และมีการตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub)

โดยที่ผ่านมาคณะวิทย์ มธ. มีผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ “ผ้าฝ้ายผสมพอลิเอสเตอร์” (THAMMASK) หน้ากากอนามัย ช่วยสะท้อนน้ำและไม่ดูดซับความชื้น ซึ่งเป็นทางเลือกของการผลิตหน้ากากอนามัย ที่มีบทบาทอย่างมากในช่วงที่ไทยขาดแคลนหน้ากากอนามัยจากการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อหลายปีที่ผ่านมา

2.เทรนด์เกษตรกรรม เนื่องจากไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีรายได้จากการส่งออกพืชผลที่สำคัญจำนวนมาก คณะวิทย์ มธ. มีแนวทางในการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรไปยังปลายทางสำคัญ คือเป็นอาหารปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ผ่านโครงการ TU Organic Farm ที่เป็นต้นแบบของเกษตรอินทรีย์ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรของไทยด้วย

3.เทรนด์การท่องเที่ยว นับเป็นอีกหนึ่งรายได้หลักของประเทศ ขณะนี้มีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น ชาวต่างชาติมีแนวโน้มเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยวจะช่วยให้ตลาดการท่องเที่ยวของไทยมีความโดดเด่น ทั้งในแง่ของความน่าสนใจ แต่ยังเพิ่มการเข้าถึงที่สามารถต่อยอดให้กับชุมชนขนาดเล็กที่มีศักยภาพได้

4.เทรนด์อาหาร เนื่องจากประเทศไทยมีอาหารที่หลากหลายและโดดเด่น สามารถนำมาต่อยอดในเชิงอุตสาหกรรม หรือยกระดับการเป็นครัวโลกได้ ซึ่งสามารถผสมผสานความน่าสนใจของวัตถุดิบด้านเกษตรให้มีมูลค่าที่สูงขึ้น และเสริมด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยให้ได้อาหารที่มีจุดเด่น สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

โดยคณะวิทย์ มธ. มีผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ การวิจัยอาหารนวัตกรรม “สเปรดเนยถั่วจากเมล็ดมะขาม” ที่มีไขมันต่ำ ปราศจากสารก่อภูมิแพ้ และยังมีอาหารสำหรับผู้ที่ดูแลสุขภาพอย่าง “ผลิตภัณฑ์ข้นหวานจากข้าวและธัญพืช” (Oryzwel) เพื่อเป็นทางเลือกของผู้ที่ชอบรับประทานอาหารประเภทของหวาน ไม่มีส่วนผสมของนมวัวและน้ำตาลทราย เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้นมวัวและกลูเตน ใช้รับประทานได้หลากหลายเมนู

5.เทรนด์ความเชื่อ (สายมู) ที่มีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งคณะวิทย์ มธ. มีการเรียนการสอนและพัฒนางานวิจัยสำหรับนักศึกษาเรียนรู้การรวบรวมสถิติทำ Big Data เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มในการสนับสนุนการคาดการณ์หรือพยากรณ์ และใช้เทคนิคทางสถิติ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการลูกค้าบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม รองรับกลุ่มการเติบโตของตลาดสายมู

โดยให้โจทย์วิจัยเพื่อค้นหาคำอธิบายให้ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ และนำเสนอด้วยเทคโนโลยีที่น่าสนใจ เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตด้วยหลักเหตุและผล และขณะนี้คณะวิทย์ มธ. มีแผนในการต่อยอดไปทำ “Mutelu Mapping” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวสายมู ร่วมกับการใช้ Data Analytics ให้การดูทำเลที่ตั้งของสถานที่ รวมถึงการใช้ข้อมูลจากดาวเทียม (Remote Sensing) ดูแผนที่ (GIS) หรือ “ฮวงจุ้ย” และประกอบการดูดวงดาว ซึ่งเป็นการนำสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมารองรับต่อความเชื่อต่าง ๆ

รองศาสตราจารย์ ดร.สุเพชรกล่าวต่อว่า ปัจจุบันคณะวิทย์ มธ. มีหลักสูตรและรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบผังเมือง และสิ่งแวดล้อม ที่คำนึงถึงภูมิประเทศที่มีผลต่อสุขภาพ ที่ต้องมีองค์ประกอบที่ดีของดิน น้ำ ลม แสง ให้ความสบายในทุกฤดูกาล ซึ่งต้องบูรณาการทักษะด้านวิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และความเชื่อทางจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน ในยุคแห่งที่คนแสวงหาที่พึ่งทางใจ ในด้านจิต วิญญาณ พลังเหนือธรรมชาติ ที่ต่อยอดไปสู่ธุรกิจ

“การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจด้วยเทรนด์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้ง 5 ด้าน ต้องเริ่มขับเคลื่อนด้วยการวิจัย เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สถานการณ์และแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน โดยตัวอย่างของผลงานนวัตกรรมของคณะวิทย์ มธ. สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของการเรียนการสอนภายใต้แนวคิด “SCI+BUSINESS” ปั้นเด็กวิทย์คิดประกอบการ ส่งเสริมให้นักศึกษาเป็น Creator เป็น “ศิลปินด้านวิทยาศาสตร์” ที่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา วิกฤต และความผันผวนของโลก (VUCA World) เห็นปัญหาแล้วรู้สึกว่าสนุกที่จะฟันฝ่าออกไป

โดยมีคณาจารย์เป็นโค้ช และใช้การวิจัยและการสร้างนวัตกรรมมาตอบโจทย์และแก้ปัญหา Pain Point เหล่านั้นเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยคณะวิทย์ มธ. มีวิชาพื้นฐานสำหรับการประกอบการโดยเฉพาะปูพื้นนำไปสู่ในเรื่องของการส่งเสริมการเป็นสตาร์ตอัพ (Startup) ซึ่งมีเป้าหมายในการพัฒนาโปรเจ็กต์ (Project) ของนักศึกษา บ่มเพาะให้เกิดนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตามเทรนด์โลก ช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนจาก 88 SANDBOX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสร้างสตาร์ตอัพที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และภาคเอกชนอีกด้วย” รองศาสตราจารย์ ดร.สุเพชรกล่าวเสริม

ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.วราฤทธิ์ พานิชกิจโกศลกุล ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล อาจารย์ประจำสาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การพัฒนานวัตกรรมถือเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการข้อมูลจำนวนมาก อาทิ การสร้างแอปพลิเคชั่นช่วยวิเคราะห์ผลตรวจเอกซเรย์ทางการแพทย์ วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน การเคลื่อนไหวของราคา เป็นต้น โดยอาจเรียกได้ว่า นี่เป็นยุคทองของ Big Data ซึ่งคนรุ่นใหม่ (Gen Z) มีความจำเป็นต้องมีทักษะด้านข้อมูล หรือ Data Skill

ซึ่งคณะวิทย์ มธ. มีหลักสูตรที่จัดการเรียนการสอนเรื่องการวิเคราะห์และจัดการข้อมูล ที่จะเป็นพื้นฐานที่นำไปประยุกต์ต่อยอดด้านต่าง ๆ ได้ ตามความสนใจของนักศึกษา โดยสามารถหาความรู้เฉพาะด้านเพิ่มเติม อาทิ การแพทย์ การเงิน ผ่านการทำโปรเจ็กต์ หรือในการเรียนในวิชาเลือก

“ในอดีตการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ อาจต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่มีความเฉพาะเจาะจงที่ตอบโจทย์ตามความต้องการของตลาดในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในปัจจุบันเราถูกเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีออนไลน์ และเอไอ (AI) ซึ่งการสร้างนวัตกรรมก็ต้องอาศัยผู้ที่สามารถจัดการข้อมูลได้เป็นอย่างดี และสามารถนำข้อมูลองค์ความรู้ที่มีอยู่แล้วมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งคณะวิทย์ มธ. เปิดกว้างสำหรับทุกความต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่คอยสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะต่าง  ๆ ที่ขับเคลื่อนผ่านแรงบันดาลใจของผู้เรียนให้ไปสู่ความสำเร็จได้”