รายงานฉบับใหม่ดีลอยท์ เผยการยอมรับ LGBT+ สร้างผลกระทบเชิงบวกในสถานที่ทำงาน แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทาย พบกว่า 42% ยังถูกเลือกปฏิบัติ
วันที่ 23 มิถุนายน 2565 องค์กรหลายแห่งให้ความสำคัญกับการยอมรับความหลากหลายทางเพศ (LGBT+ inclusion) ซึ่งเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในที่ทำงานตามความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 80% จากรายงานฉบับล่าสุดของดีลอยท์ “LGBT+ inclusion @ Work: A Global Outlook” ที่ได้รับการเผยแพร่เมื่อเร็ว ๆ นี้
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
ผลการสำรวจระบุว่า พนักงานในกลุ่ม LGBT+ มากกว่า 70% มีแนวโน้มที่จะทำงานร่วมกับนายจ้างปัจจุบัน เนื่องจากมีนโยบายกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และผู้ตอบแบบสำรวจหลายคนกล่าวถึงการสนับสนุนความเท่าเทียมที่ชัดเจน และกลุ่ม Employee Resource Groups (ERGs) เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดวัฒนธรรมที่ให้กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการดำเนินการสนับสนุนต่าง ๆ 42% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดรายงานว่า ยังประสบกับพฤติกรรมเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน
การวิจัยดังกล่าวได้ข้อมูลจากผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 600 คน จากองค์กรต่าง ๆ ใน 12 ประเทศ จากหลากหลายภาคส่วน แสดงให้เห็นถึงภาพรวมประสบการณ์ของพนักงานในกลุ่ม LGBT+ (หมายถึงผู้ที่ระบุว่าเป็นเลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล บุคคลข้ามเพศ และอื่น ๆ) เพื่อทำความเข้าใจถึงความเป็นจริงในแต่ละวันที่พวกเขากำลังเผชิญ สิ่งที่องค์กรดำเนินการได้เหมาะสม และสิ่งที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
เอ็มมา คอดด์ ผู้นำ Deloitte Global Inclusion กล่าวว่า เห็นได้ชัดว่านายจ้างเริ่มดำเนินการในการยอมรับกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ด้านความหลากหลายและการมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กร (DE&I) และการดำเนินการดังกล่าวได้รับผลตอบรับที่ดีจากพนักงานกลุ่ม LGBT+
“แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่หลายองค์กรต้องทำเพื่อปลูกฝังการยอมรับกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในวัฒนธรรมองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ องค์กรเหล่านี้จำเป็นต้องดำเนินการมากกว่าเพียงการจัดทำโครงการเพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมที่เคารพกันอย่างแท้จริง ที่พฤติกรรมการเลือกปฏิบัติไม่เป็นที่ยอมรับ และทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองในที่ทำงานได้”
เอ็มมา คอดด์ กล่าวต่อว่า หลายองค์กรได้ดำเนินการต่าง ๆ ที่พนักงานเห็นว่าองค์กรให้การสนับสนุนการยอมรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างมีนัยสำคัญ องค์กรหลายแห่งมุ่งให้ความสำคัญกับเรื่องการยอมรับกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์ด้านความหลากหลายและการมีส่วนร่วม (DE&I)
จากผลการวิจัย ประมาณ 80% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าผู้ว่าจ้างมีการดำเนินการให้การยอมรับกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และ 95% ของผู้คนกลุ่มนี้เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าองค์กรให้การสนับสนุนพนักงานกลุ่ม LGBT+ ในองค์กรของตนอย่างมีนัยสำคัญ
จากการสำรวจการดำเนินการยอมรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีความแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร เกือบ 40% กล่าวว่า ผู้นำองค์กรของพวกเขากล่าวถึงการยอมรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศภายในองค์กรอย่างเปิดเผย 1 ใน 3 กล่าวว่าองค์กรของพวกเขามีโปรแกรมสนับสนุนผู้มีความหลากหลายทางเพศ และเกือบ 1 ใน 3 (31%) กล่าวว่า นายจ้างมีการพูดคุยในเรื่องการยอมรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในการประชุมกับบุคคลภายนอก เช่น กิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ
ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบทุกคน (93%) ที่ทำงานให้กับองค์กรระดับโลกเชื่อว่าการสื่อสารและการดำเนินการในระดับองค์กรเกี่ยวกับการยอมรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การสนับสนุนที่สำคัญในประเทศบ้านเกิดของตน
ทั้งนี้แม้ว่าองค์กรต่าง ๆ ดำเนินการสนับสนุนให้กับพนักงานกลุ่ม LGBT+ กลับพบว่า 42% ของผู้ตอบแบบสำรวจเคยประสบพฤติกรรมการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน พฤติกรรมเหล่านี้ ได้แก่ การให้ความคิดเห็นที่ไม่พึงประสงค์เกี่ยวกับเพศสภาพ (33%) ความคิดเห็นที่ไม่พึงประสงค์เกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศ (25%) และพฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับได้ในวงกว้าง
นอกจากนี้ พฤติกรรมเหล่านี้ต่างพบเห็นทั้งในออฟฟิศและการทำงานนอกออฟฟิศ เกือบครึ่งหนึ่ง (47%) ของผู้ตอบแบบสำรวจที่ระบุว่าเคยประสบพฤติกรรมแบ่งแยกกล่าวว่า พวกเขาพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าวในออฟฟิศ ในขณะที่ 20% เคยพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าวในการทำงานแบบ virtual 1 ใน 3 (33%) เคยพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าวทั้งในออฟฟิศและในรูปแบบการทำงานนอกออฟฟิศ เกือบ 3 ใน 4 ของผู้ที่ได้พบเห็นพฤติกรรมดังกล่าวได้รายงานสิ่งที่พวกเขาพบให้กับผู้ว่าจ้างแล้ว และ 6ใน 10 รู้สึกถึงพอใจกับการตอบรับจากผู้ว่าจ้าง
เหตุผลที่ผู้ตอบแบบสำรวจไม่รายงานพฤติกรรมการเลือกปฏิบัติ มักเป็นไปในทางคล้ายกันในทุกอัตลักษณ์ทางเพศ (ตัวอย่างเช่น เมื่อเกี่ยวข้องกับการรับรู้ของเพื่อนร่วมงาน) อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงมีความกังวลมากกว่าผู้ชายว่าเรื่องที่พวกเขาร้องเรียนอาจไม่ได้รับความสนใจจากองค์กรอย่างจริงจัง (40% เทียบกับ 22%) และกังวลว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่ร้ายแรงมากพอที่จะรายงาน (33% เทียบกับ 16%) ในขณะที่ผู้ชายมีความกังวลมากกว่าผู้หญิงว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะแย่ลง (38% เทียบกับ 17%) หากมีการรายงาน
อย่างไรก็ตาม ประมาณ 1 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ไม่เปิดเผยรสนิยมทางเพศกับเพื่อนร่วมงาน ในขณะที่ 34% เปิดเผยรสนิยมทางเพศกับเพื่อนร่วมงานที่สนิทกัน 36% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่เปิดเผยตัวตนนี้ ระบุว่า เพื่อนร่วมงานทำให้เขารู้สึกสบายใจที่จะเป็นตัวของตัวเอง แต่ทางองค์กรโดยรวมกลับไม่เป็นเช่นนั้น จากมุมมองด้านอัตลักษณ์ทางเพศ เกือบ 1 ใน 4 (23%) ที่เปิดเผยตัวตนกับเพื่อนร่วมงานบางคน รู้สึกกังวลว่าการเปิดเผยตัวตนกับเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่จะส่งผลในทางตรงกันข้ามต่ออาชีพการทำงาน
9 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามที่เปิดเผยตัวตนกับเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ เห็นตรงกันว่าเพราะวัฒนธรรมในการทำงานช่วยให้พวกเรารู้สึกสบายใจที่จะเป็นตัวของตัวเอง
ด้านมิเชล พาร์เมลี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีลอยท์ โกลบอล และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้าน People และ Purpose กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นการให้ความสำคัญกับการยอมรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในที่ทำงาน อย่างไรก็ตาม การสำรวจดังกล่าวได้แสดงให้เราเห็นว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องดำเนินการ เมื่อบริษัทต่าง ๆ สร้างองค์กรที่พร้อมสำหรับอนาคต ผู้นำองค์กรและเพื่อนร่วมงานจะต้องให้ความสำคัญกับองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการเพื่อส่งเสริมการยอมรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ได้แก่ ทำให้พนักงานรู้สึกสบายใจที่จะเป็นตัวของตัวเองในที่ทำงาน สร้างสภาพแวดล้อมที่พฤติกรรมเลือกปฏิบัติไม่เป็นที่ยอมรับ และให้การสนับสนุนความเท่าเทียมอย่างเปิดเผย