
ผู้เขียน : ปนัดดา ฤทธิมัต, ชัชพงศ์ ชาวบ้านไร่ ช่างภาพ : ศุภโชค สอนแจ้ง
บันทึกการเดินทางเที่ยว “เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์” เปิดประสบการณ์เมืองรอง ชิม-ช็อปสินค้าชาวบ้าน หลังจากการรถไฟแห่งประเทศไทยจัดขบวนรถไฟลอยน้ำต้อนรับลมหนาวและฤดูกาลท่องเที่ยว ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2565-มกราคม 2566 “ดีไลฟ์-ประชาชาติธุรกิจ” ก็ไม่พลาดกับทริปนี้
พร้อมแล้วจึงออกเดินทาง
ขณะที่พระอาทิตย์กำลังทอแสงเราออกเดินทางไปยังเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ขึ้นรถไฟที่สถานีกรุงเทพ ออกสตาร์ตเวลา 6 โมงเช้า มีแวะรับผู้โดยสารที่สถานีสามเสน ชุมทางบางซื่อ บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง รังสิต อยุธยา และชุมทางแก่งคอย ตามลำดับ
หลังรถไฟเคลื่อนตัวไปได้สักพัก เราก็ได้ยินเสียงคำรามจากกระเพาะอาหาร เราจึงเดินไปยัง “รถเสบียง” คันที่ขายอาหารบนรถไฟ มีเมนูให้เลือกทั้งข้าวผัดรถไฟ ข้าวกะเพราไก่/หมู ไข่ดาว ข้าวหมูพะโล้ ฯลฯ
“แม้การนั่งกินอาหารบนรถไฟ ชมทิวทัศน์ข้างทางจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ทำให้เราตื่นเต้นและรู้สึกดี เพราะการเดินทางครั้งใหม่ เราจะเห็นวิวที่ต่างจากเดิม”
ในการเดินทางมักมีคน 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ “ศึกษาข้อมูลและวางแผนการเดินทางมาก่อน” กับกลุ่มที่สองคือ “ค่อยไปดูหน้างาน” แต่ไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ไม่ต้องกังวล เพราะเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ เตรียมรายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยวให้พร้อม ทั้งแนะนำวิธีการเดินทางด้วย และมีเกมสนุก ๆ ให้เล่น ผู้โชคดีจะได้รับของที่ระลึกซึ่งเป็นสินค้าของชาวบ้านกลับไป
รับลมชมเขื่อนป่าสักฯ
เราเดินทางได้สักพักก็ถึงจุดหมายแรก “จุดชมวิวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์” รถไฟจะจอดกลางสะพานที่ทอดยาวข้ามเขื่อนให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป แม้เป็นเวลาที่แสงแดดเจิดจ้า ดวงอาทิตย์แผ่ความร้อนมาอย่างไม่ปรานี แต่จุดนั้นลมดีไม่มีแผ่วจึงช่วยคลายความร้อนได้ พิเศษไปกว่านั้น มีกลุ่มนักท่องเที่ยวกว่า 10 คน ที่มาเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ขี่เจ็ตสกีมาต้อนรับ และโบกมือทักทายให้คนบนฝั่ง
จากนั้นเราถ่ายรูปเล่นได้ไม่นานก็มีเพื่อนต่างวัยมาทักทายอย่างเป็นมิตร เราทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกันได้ดีจนไม่น่าเชื่อว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ซึ่งเราประทับใจประโยคหนึ่งที่ว่า “เราทำงานมาทั้งชีวิต ก็ควรหาความสุขให้ตัวเองบ้าง ไม่มีเพื่อนไปก็ไม่เป็นไร ค่อยไปหาระหว่างทาง”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว เราจึงมองไปรอบ ๆ ก็พบว่ามีผู้ร่วมทริปที่มาคนเดียวจำนวนไม่น้อย ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะมีเพื่อนไปไหนมาไหนกับเราได้ทุกที่ และเราก็ไม่ควรล้มเลิกการเดินทางเพียงเพราะไม่มีเพื่อนไป
เพราะอาจทำให้เราพลาดโอกาสที่จะได้พบเจอสิ่งใหม่ดี ๆ ที่อยู่ข้างหน้า ที่สำคัญทริปรถไฟลอยน้ำของการรถไฟฯ เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย และไม่ว่าจะเดินทางเป็นคู่ เป็นกลุ่ม หรือคนเดียว ก็สนุกเพลิดเพลินไม่แพ้กัน และไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เพื่อนใหม่ที่ชอบอะไรเหมือนกันกลับไปก็เป็นได้
ชิม-ช็อปสินค้าชาวโคกสลุง ไหว้พระ-ชมสัตว์น้ำ
จุดหมายที่สองคือ “สถานที่รถไฟโคกสลุง” ใช้เวลาเดินทางจากจุดชมวิวเขื่อน 25 นาที ไปถึงแล้วเราจะพบกับสินค้าของชาวบ้านนำมาเรียงรายให้เราได้เลือกซื้อ เช่น เมล็ดทานตะวัน ปลาแดดเดียว แหนม ผักสะเดา ทอดมันปลากราย ขนม อาหาร และเครื่องดื่ม ซึ่งเราจะซื้อไปนั่งทานบนรถหรือนำกลับไปฝากคนที่บ้านก็ได้ นับเป็นการสร้างรายได้ให้กับชาวโคกสลุง
และแล้วเราถึง “เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์” โดยมีเวลาถึง 5 ชั่วโมง และมีรถตัวหนอนพาเที่ยวภายในเขื่อน ค่าบริการผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 10 บาท ส่วนนอกเขื่อนจะมีรถตู้ให้บริการรับ-ส่งไป “บ้านกล้วย & ไข่ Cafe” และ “ไร่ทรัพย์ประยูร” ค่าบริการ 70 บาท เราเลือกชมสิ่งต่าง ๆ ภายในเขื่อนก่อน แล้วค่อยไปเที่ยวนอกเขื่อน
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 จังหวัด คือ ลพบุรี และสระบุรี เป็นเขื่อนแกนดินเหนียวยาวที่สุดในไทย สันเขื่อนยาว 4,860 เมตร เขื่อนนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล ชื่อเขื่อนได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 9 อันหมายถึง เขื่อนแม่น้ำป่าสักที่เก็บกักน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เขื่อนแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ไฮไลต์คือ สันเขื่อน ที่มีบริการรถราง หรือรถตัวหนอนจากลพบุรี นำเที่ยวชมสันเขื่อนรวมระยะทางไปกลับ 9,720 เมตร คลุมพื้นที่ลพบุรีและสระบุรี มีมัคคุเทศก์น้อยเป็นนักเรียนในพื้นที่
ไฮไลต์อีกจุดอยู่สระบุรี คือ “พระพุทธรัตนมณีมหาบพิตรชลสิทธิ์มงคลชัย” หรือ “หลวงปู่ใหญ่ป่าสัก” พระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาวมีความสูง 14 เมตร และสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ ศูนย์จัดแสดงสัตว์น้ำและปลาน้ำจืด ไฮไลต์ตู้ปลาขนาดยักษ์ ที่มีปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ และตู้ปลาขนาดเล็กวางเรียงรายตลอดทางเดิน
เป็นการเที่ยวที่คุ้มค่าราคาไม่แพง ตื่นใจกับธรรมชาติ รู้เรื่องราวระบบนิเวศน้ำจืดรอบเขื่อน และอิ่มบุญอีก ทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจซื้อของฝากจากชุมชน
ดอกทานตะวันบานรับแขก-ชมสวนเฟิร์นไร่ทรัพย์ประยูร
หลังเที่ยวภายในเขื่อนป่าสักฯแล้ว เราก็ตรงไปยังจุดซื้อตั๋วรถตู้ เดินทางไปยัง “บ้านกล้วย & ไข่ Cafe” ซึ่งอยู่ไม่ไกล ใช้เวลาเดินทาง 10 นาที ทางเข้ามีรูปปั้นผลไม้ขนาดยักษ์ทั้งเมล่อน แตงโม มังคุด น้อยหน่า กล้วยขนาดยักษ์ ตั้งเด่นเป็นสง่าและมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวร่วมสนุก ให้นมลูกวัวถูกใจน้อง ๆ มาก หรือนั่งรถกอล์ฟไปชมดอกไม้ในไร่ จากราคา 40 บาทต่อคน ถ้ามากับรถไฟจะได้รับส่วนลด 20 บาท
เมื่อถึงไร่เราจะพบกับดอกทานตะวันและดอกดาวกระจายเหลืองอร่ามตระการตา พร้อมใจกันเบ่งบานต้อนรับแขกผู้มาเยือนและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกแล้วก็นั่งรถตู้ไปยังไร่ทรัพย์ประยูร ด้านในเป็นสวนเฟิร์นขนาดใหญ่ มีบ่อปลาคาร์ป กระต่าย ม้า หมู นกแก้ว มีมุมถ่ายรูปเอาใจนักท่องเที่ยว มีต้นไม้ให้ได้ซื้อกลับ เรามองเห็นวิวเขื่อนขณะจิบกาแฟยามบ่ายได้ด้วย
หลังดื่มด่ำบรรยากาศเรานั่งรถตู้กลับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ แล้วทานข้าวที่ศูนย์อาหารในเขื่อน มีส้มตำ ไก่ย่าง ปลาเผา พวกพ่อค้าบอกว่า ตั้งแต่รถไฟจัดขบวนนำเที่ยวก็ทำให้มีนักท่องเที่ยวมากขึ้น จากที่เงียบเหงาก็กลับมาคึกคัก
กินอาหารเสร็จก็ได้เวลากลับพอดี ระหว่างทางเราได้ประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทาง แน่นอนว่าเราสนุกสนานไปกับการท่องเที่ยว วิวที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน ๆ ความน่ารักของผู้คน เพื่อนร่วมทริป เจ้าหน้าที่ ชาวบ้าน ได้เห็นเสน่ห์ของเมืองลพบุรี แม้เป็นเมืองรองแต่ก็น่าท่องเที่ยว
ที่สำคัญยังเป็นการช่วยชาวบ้านในพื้นที่ให้มีรายได้ และอีกไฮไลต์ที่อดพูดไม่ได้คือการชมพระอาทิตย์ลาลับฟ้า ขณะนั่งรถไฟกลับ นับว่าเป็นการปิดฉากทริปรถไฟลอยน้ำได้สวยงาม