
แพทย์ รพ.วิมุตเผย ผู้หญิงในกรุงเทพฯมีความชุกภาวะอ้วนลงพุงสูงถึง 65.3% ส่งผลให้มีความเสี่ยงจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) พร้อมแนะนำ 3 วิธีลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ
วันที่ 7 มีนาคม 2566 นายแพทย์ฐากูร วิริยะชัย กุมารแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคติดเชื้อในเด็ก ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลวิมุต เปิดเผยว่า การสำรวจสุขภาพประชาชนกรุงเทพมหานคร ปี 2563 พบว่าโรคอ้วนในเยาวชนอายุ 6-14 ปี มีอัตราสูงถึง 12.5% โดยเป็นเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการกินอาหารที่มีแป้ง น้ำตาลและไขมันสูง รวมถึงใช้เวลาว่างทำกิจกรรมที่ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานหรือออกกำลังกายน้อย เช่น เล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือเล่นโทรศัพท์มือถือ
โดยวิธีลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 3 แนวทาง ได้แก่ 1.การปรับอาหารให้ถูกสัดส่วน โดยในแต่ละมื้อแบ่งอาหารเป็น 4 ส่วน คือ ผักกับผลไม้รวมกัน 2 ส่วน โปรตีน 1 ส่วน และคาร์โบไฮเดรต 1 ส่วน รวมถึงปรุงอาหารด้วยวิธีการตุ๋น ต้ม นึ่ง อบ ยำและลวก หลีกเลี่ยงการคั่ว ปิ้ง ย่าง เผา ผัด หรือทอด รวมถึงไม่ควรรับประทานอาหารในช่วง 4 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน
2.การออกกำลังกาย เน้นกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นแรงและหายใจเร็วขึ้นในระดับที่ไม่สามารถร้องเพลงได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังสามารถพูดคุยประโยคยาว ๆ ได้ เช่น การเดินเร็วหรือขี่จักรยานต่อเนื่อง 10 นาทีขึ้นไป และ 3.การปรับแนวคิดและอารมณ์ โดยสร้างเป้าหมายในการลดน้ำหนัก หากรู้สึกหิวให้หากิจกรรมอย่างอื่นทำแทน เช่น ออกกำลังกายหรือดื่มน้ำ ตลอดจนขอให้บุคคลรอบข้างช่วยสนับสนุนการลดน้ำหนัก และปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมไม่ให้เกิดความอยากรับประทานอาหาร

ด้านนายแพทย์ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล แพทย์ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลวิมุต เผยว่า ผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยจากการตรวจร่างกายครั้งที่ 6 ปี 2562-2563 พบว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วนถึง 42.2% และอ้วนลงพุง 39.4%
ทั้งนี้ คนกรุงเทพฯมีความชุกของภาวะอ้วนสูงที่สุดที่ 47% โดยเฉพาะผู้หญิงในกรุงเทพฯ มีความชุกภาวะอ้วนลงพุงสูงถึง 65.3% ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก เพราะโรคอ้วนจะเพิ่มความเสี่ยงกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด และมะเร็ง
ส่วนกรณีที่บางคนมีปัญหาอ้วนง่าย แม้ลดอาหารแล้วก็ยังไม่ผอม นพ.ชาญวัฒน์อธิบายว่า “นอกจากภาวะทางพันธุกรรมและการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม เช่น สเตียรอยด์ และการเป็นโรคไทรอยด์ต่ำ ก็อาจเป็นสาเหตุให้อ้วนขึ้นได้แม้เราจะกินอาหารตามสัดส่วนปกติก็ตาม
ดังนั้น หากเรารู้สึกว่าอ้วนง่ายผิดปกติและไม่สามารถลดได้แม้จะพยายามทำตามคำแนะนำทั่วไปอย่างเคร่งครัดแล้ว ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าแนวทางการลดน้ำหนักที่เราปฏิบัติอยู่อาจไม่ถูกต้อง ซึ่งแพทย์ก็จะได้ให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลต่อไป”
