
ในแต่ละปีมีผู้ป่วยจาก “โรคอ้วน” เพิ่มสูงขึ้นทุกเพศทุกวัยอย่างต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในโรคฮิตของ “วัยทำงาน” โดยเฉพาะชาวออฟฟิศ เพราะมีการใช้พลังงานในแต่ละวันน้อย ขาดการออกกำลังกาย และรับประทานอาหารสำเร็จรูปที่มักจะประกอบด้วยแป้งและไขมัน เพราะต้องการความรวดเร็วและสะดวกสบาย นอกจากนี้ อาจมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารหนัก ๆ ในมื้อเย็นหรือมื้อดึก ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุที่ส่งเสริมให้เป็นโรคอ้วนมากขึ้น
นาวาโทนายแพทย์บุญเลิศ อิมราพร อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า โรคอ้วนปัจจุบันพบได้บ่อยมากขึ้นในคนวัยทำงานที่ไม่มีเวลาพักผ่อน หรือมีเวลาดูแลตัวเองน้อยลง โรคอ้วนเกิดจากการที่มีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป โดยปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคอ้วนมีหลายสาเหตุ
ได้แก่ การรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต แป้ง อาหารหวาน ของหวาน เบเกอรี่ ขาดการออกกำลังกาย กรรมพันธุ์ ซึ่งมักจะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย หรือมีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ การกินยาบางชนิด เช่น ยาคุม สเตียรอยด์
และเมื่ออายุเยอะขึ้น ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง พลังงานจึงถูกเก็บในของรูปของไขมันแทน ถ้าเมื่อไหร่ที่ได้รับมากเกินไปจะเกิดการสะสมของไขมันตามจุดต่าง ๆ ในร่างกาย ถ้าสะสมบริเวณช่องท้องมักจะเรียกว่า “อ้วนลงพุง” ยิ่งสะสมมาก ยิ่งส่งผลเสีย และทำให้โรคร้ายตามมา
ปัญหาสุขภาพและโรคที่ตามมาจากโรคอ้วนสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 โรคเมตาบอลิกซินโดรม ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง คลอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคเกาต์
กลุ่มที่ 2 โรคหัวใจและปอด ได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคนอนกรน
กลุ่มที่ 3 โรคทางเดินอาหารและตับ ได้แก่ กรดไหลย้อน ตับอักเสบจากไขมันเกาะตับ นิ่วในถุงน้ำดี
กลุ่มที่ 4 โรคมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งตับ ลำไส้ใหญ่ ปากมดลูก รังไข่ ตับอ่อน และยังส่งผลต่อร่างกายด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ข้อเข่ากระดูกเสื่อมเร็ว ปวดหลัง ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือประจำเดือนขาดได้
ซึ่งจากการศึกษาพบว่าคนอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าคนผอม ทำให้โรคอ้วนเป็นโรคที่อันตรายมากกว่าที่คิด
นาวาโทนายแพทย์บุญเลิศกล่าวว่า คนทั่วไปควรมีค่า BMI อยู่ระหว่าง 18.5-22.9 kg/m2 หากค่าเกินกว่า 25 จะถือว่าผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน และหากว่าค่าเกินกว่า 30 ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ ควรเข้าสู่กระบวนการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน ซึ่งปัจจุบันมีวิธีการลดน้ำหนักที่หลากหลาย ทั้งวิธีแบบธรรมชาติหรือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็น 1 ในวิธีการลดน้ำหนัก โดยสามารถทำได้ด้วยการควบคุมอาหาร ด้วยการลดคาร์โบไฮเดรตหรือแป้ง หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน อาหารแปรรูป รวมถึงอาหารประเภทหวาน มัน เค็ม พร้อมกับหันมารับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ดื่มน้ำเปล่าก่อนรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมง เพื่อลดความอยากและรับประทานอาหารได้น้อยลง
นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีทางเลือกในการลดน้ำหนักด้วยการใส่ “บอลลูนลดน้ำหนัก” ในกระเพาะอาหารผ่านการส่องกล้อง จะช่วยลดปริมาณการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อและรู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น ซึ่งเป็นวิธีปรับพฤติกรรมการรับประทานในระยะยาว รับประทานอาหารได้น้อยลง ส่งผลให้น้ำหนักลดลงและอยู่ในเกณฑ์ปกติ
หากใครกำลังมีความเสี่ยงจะเป็นโรคอ้วน และมองหาวิธีลดน้ำหนัก ควรเข้ามารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม นอกจากความสวยงามของรูปร่างแล้ว ยังช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นและยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย