ผู้เขียน : ชัชพงศ์ ชาวบ้านไร่ ช่างภาพ : ชลาธิป รุ่งบัว
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หรือ BACC พื้นที่แห่งความหลากหลายของศิลปะร่วมสมัย ภายใต้การดูแล แรงบันดาลใจ และทิศทางในอนาคต โดยนางสาวอดุลญา ฮุนตระกูล หรือ “ผอ.คิม” ผู้อำนวยการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ที่มีอายุน้อยที่สุดในวัยเพียง 38 ปี
เด็กรักศิลปะสู่ผู้บริหาร ฝันอยากผจญภัย
คิม-อดุลญา ฮุนตระกูล เผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เธอชอบศิลปะและดนตรีมาตั้งแต่วัยเยาว์ เริ่มสนใจประวัติศาสตร์ศิลปะเป็นพิเศษเมื่ออายุ 15 ปี จึงเลือกเรียนปริญญาตรีสาขา History of Art and Archaeology with Music, School of Oriental and African Studies กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ก่อนไปคว้าปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ศิลปะเอเชีย จาก LA SALLE College of Arts ที่สิงคโปร์ ปัจจุบันกำลังเรียนต่อปริญญาเอกสาขาศิลปะและภัณฑารักษ์ศึกษา ที่ Tokyo University of the Arts ประเทศญี่ปุ่น
คิม อดุลญา เติบโตในยุโรปที่ฝรั่งเศสและอังกฤษ แต่เธอกลับชอบศิลปะเอเชียเป็นพิเศษ เพราะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เชื่อมโยงกับภูมิภาคต้นกำเนิดได้ เสมือนค้นหาตัวตนที่มากกว่าคำว่าศิลปะและได้ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมของตนเองมากที่สุด
ด้วยโปรไฟล์ที่ไม่ธรรมดา เธอจึงก้าวสู่การเป็น ผอ.หอศิลป์กรุงเทพฯด้วยวัยที่น้อยที่สุดเพียง 38 ปี แน่นอนว่างานนี้เต็มไปด้วยความท้าทายเริ่มด้วยการปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ทำงานในระดับผู้อำนวยการที่ต้องไม่หยุดเรียนรู้ความเคลื่อนไหวในวงการศิลปะอยู่ตลอด พร้อมทั้งทำหน้าที่บริหารองค์กรควบคู่กันไป
เดิมที คิม อดุลญาแพลนไว้ว่าเมื่อเรียนจบปริญญาเอกจะมุ่งหน้าพยายามเอาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่สามารถตัดสินใจในระดับนโยบายหรือการสร้างโปรเจ็กต์ได้ แต่ในวันนี้เมื่อโอกาสมาถึงก่อนแม้ยังเรียนไม่จบ การสมัครเป็น ผอ.หอศิลป์กรุงเทพฯ จึงอยู่ในแพลนที่วางไว้แล้ว
ด้านความฝันส่วนตัว ผอ.คิมเผยว่า เป็นนักผจญภัยตัวยง เธออยากไปในประเทศที่ไม่เคยไป อยากไปเห็นอะไรที่คนอื่นไม่ค่อยเห็น แม้จะต้องเดินป่าหรือดำน้ำเข้าไปเหมือนหาขุมทรัพย์ เนื่องจากชอบค้นหาอะไรแปลก ๆ เพื่อมาเติมเต็มประสบการณ์ชีวิต
“ภูมิใจที่สุดก็ ณ ตอนนี้ เหมือนเรามาสมัครงานแล้วก็ผ่านกระบวนการสัมภาษณ์หลายรอบ ซึ่งเป็นการท้าทายความสามารถของตัวเอง ด้วยภูมิใจมากที่สุดก็จุดนี้ที่ได้มาทำงานเป็นผู้อำนวยการให้กับหอศิลป์กรุงเทพฯ”
BACC ภายใต้แรงบันดาลใจ
เรื่องนโยบายและการร่างกิจกรรมต่าง ๆ ใน BACC จะมีการผ่านกระบวนการปรึกษาคณะทำงานแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงกรรมการมูลนิธิหอศิลปกรุงเทพฯ เพื่อระดมแนวความคิดกำหนดกรอบในการร่างนโยบาย ผลิตกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรมแก่ประชาชนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมีความหลายหลาย
“เราต้องดูหมดทุกอย่าง BACC เป็นพื้นที่ที่ไม่เหมือนใคร ต้องเรียนรู้ไป ทำงานไป เป็นความท้าทายที่สนุก ทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ ให้พยายามคิดอะไรนอกกรอบ หาคำตอบ หาวิธีการแก้ปัญหาให้มันได้”
ตามสถิติผู้เข้าชมหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กว่า 75% อายุน้อยกว่า 30 ปี ในจำนวนนี้ 50% อายุน้อยกว่า 25 ปี ถือว่าเด็กมาก ดังนั้นการที่กลุ่มวัยรุ่นมาใช้บริการ BACC จึงต้องทำโปรแกรมหรือการจัดแสดงที่ตอบรับกับสิ่งที่คนเจนนี้กำลังค้นหาอยู่ ซึ่งสำคัญมากที่ BACC ต้องเป็นพื้นที่ในการพัฒนาความคิดและความรู้ด้านศิลปะต่าง ๆ
ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ของคนทุกเพศทุกวัย BACC จึงต้องจัดกิจกรรมเพื่อรองรับคนทุกกลุ่ม เพื่อให้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน แม้ว่าคนที่เข้ามาส่วนใหญ่จะมีอายุน้อยกว่า 30 ปี แต่ต้องหาพื้นที่ให้กับทุกเจนให้ได้ เช่น ปลายปีนี้ก็จะมีนิทรรศการเกี่ยวกับผู้สูงวัยซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการความสนใจอย่างสูง
BACC ในฐานะพื้นที่การแสดงออกทางความคิดทั้งการเมือง เศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรม ผอ.คิมกล่าวว่า สำคัญมากที่หอศิลป์ต้องมีพื้นที่สำหรับการแสดงออกในส่วนนี้ในทางใดก็ได้
เพราะศิลปะเป็นวิธีการแสดงออก ไม่ใช่แค่การโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย แต่ผ่านกระบวนการทำงาน ผ่านความคิดในการสร้างงาน ดังนั้นต้องสนับสนุนสิ่งเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด
วงการศิลปะไทยเทียบกับเทศ
ผอ.คิมกล่าวว่า วงการศิลปะในไทยยังต้องพัฒนาอีกมาก เพราะองค์ประกอบในวงจรยังไม่ครบ ต่างประเทศจะมีระบบนิเวศสำหรับโลกศิลปะ เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย องค์กร พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ อาร์ตแฟร์ ตลอดจนอุตสาหกรรมและกฎหมายที่ซัพพอร์ตธุรกิจศิลปะ ซึ่งไทยยังขาด ที่เห็นได้ชัด คือ หอศิลป์กรุงเทพฯเป็นพื้นที่สาธารณะเกี่ยวกับศิลปะร่วมสมัยแห่งเดียวในประเทศและหลายจังหวัดด้วย
วงการศิลปะในไทยที่เติบโตมาได้ เรียกว่าเป็นน้ำพักน้ำแรงของศิลปินรุ่นก่อน เมื่อมาถึงรุ่นเราก็ต้องผลักดันกันต่อไป ให้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เช่น มีพื้นที่อย่างหอศิลป์กรุงเทพฯเพิ่มขึ้น มีพิพิธภัณฑ์เก็บงานศิลปะที่โกลบอล สแตนดาร์ด เป็นต้น
หอศิลป์กรุงเทพฯ ในอนาคต
ผอ.คิม ชวนตั้งคำถามว่า BACC ที่ก่อตั้งมา 15 ปี อยากให้อีก 15 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร ปัจจุบัน BACC สร้างอะไรให้ประเทศมาแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งทำได้ดีด้วย ต่อไปคือโมเดลที่เราสร้างมาจะมีบทบาทได้มากน้อยเพียงใด เอาแค่ในเอเชียอาคเนย์จนถึงเอเชีย-แปซิฟิก BACC ทำงานได้มากน้อยแค่ไหนเกี่ยวกับการเรียนรู้ศิลปะ การสร้างคน การมีนิทรรศการที่ยกประเด็นสังคมขึ้นมา เราต้องมองให้กว้างกว่าสังคมไทยแล้ว
การสนับสนุนของภาครัฐเป็นเรื่องที่สำคัญ ต้องมีความชัดเจนสำหรับนโยบายที่จะสนับสนุนองค์กรศิลปะทั้ง BACC และที่อื่น ๆ เพื่อการทำงานที่ต่อเนื่องสู่การพัฒนาอะไรใหม่ ๆ ต้องมองไปยังอนาคต แน่นอนว่าทุกวันนี้ BACC ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่เราต้องการสิ่งที่บอกได้ว่า ภายใน 10-20 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง