ไฮไลต์ 4 จุดดังทั่วโลก Amazing Thailand

เริ่มต้นปีใหม่ 2567 “ดีไลฟ์-ประชาชาติฯ” ขอพาท่านผู้อ่านมาเยือน 4 สถานที่ชื่อดังของเมืองไทยที่ดังไกลไปทั่วโลก นอกจากชื่อเสียงและเป็นหนึ่งเดียวแล้ว สถานที่เหล่านี้ยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาสัมผัสด้วยตัวเอง ทั้งสร้างรายได้เป็นเม็ดเงินมหาศาลให้กับประเทศ

เศียรพระต้นไม้ วัดมหาธาตุ อยุธยา

เรื่องอะเมซิ่งหรืออันซีน กรุงเก่า “อยุธยา” เป็นจังหวัดที่ต้องกล่าวถึง เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและประวัติศาสตร์มากมาย หนึ่งในนั้น คือ “เศียรพระพุทธรูปหินทราย” ท่ามกลางรากไม้ปกคลุม ณ “วัดมหาธาตุ”

วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่ในตัวเมืองอยุธยา บริเวณเชิงสะพานป่าถ่าน ทางทิศตะวันออกของวัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นปรางค์ที่สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น ได้รับอิทธิพลจากขอม

สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ต่อมาสมเด็จพระราเมศวรโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ใต้ฐานพระปรางค์ประธานของวัด เมื่อ พ.ศ. 1927 และสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงปฏิสังขรณ์พระปรางค์ใหม่โดยเสริมให้สูงกว่าเดิม แต่ขณะนี้ยอดพังลงมาเหลือเพียงชั้นมุขเท่านั้น

กรมศิลปากรได้ขุดแต่งพระปรางค์องค์นี้เมื่อ พ.ศ. 2499 และพบของโบราณหลายชิ้น เช่น ผอบศิลา ที่ภายในมีสถูปซ้อนกัน 7 ชั้น แบ่งออกเป็น ชิน เงิน นาก ไม้ดำ ไม้จันทน์แดง แก้วโกเมน และทองคำ ชั้นในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องประดับอันมีค่า

ไฮไลต์ของวัดมหาธาตุ คือ “เศียรพระพุทธรูปหินทราย” ที่มีรากไม้ปกคลุม สันนิษฐานว่า เมื่อครั้งเสียกรุง เศียรพระพุทธรูปน่าจะหล่นลงมาอยู่ที่โคนต้นไม้จนรากไม้ขึ้นปกคลุม เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนงามล้ำค่าของประเทศไทย ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย-เทศให้มาเยือน

เศียรพระวัดมหาธาตุกลับมาเป็นที่พูดถึง เมื่อกลางปี เมื่อ “ลิซ่า BLACKPINK” และเพื่อน ๆ ใส่ผ้าไทยเที่ยวอยุธยา ทำเอาคนแห่ตามรอย เป็นกระแสใหญ่ ทำให้กรุงแตกอีกครั้ง

พระพรหมเอราวัณ ศรัทธากลางกรุง

กลับมาที่กรุงเทพมหานคร ใจกลางเมือง ณ สี่แยกราชประสงค์ ที่ประดิษฐาน “ท้าวมหาพรหมเอราวัณ” เป็นปีที่ 67 แล้วที่มีการอัญเชิญองค์ท้าวมหาพรหมเอราวัณมาประดิษฐาน ณ บริเวณด้านหน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ

ท้าวมหาพรหมเอราวัณ ออกแบบศาลโดย “ระวี ชมเสรี” และ “หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล” ส่วนองค์ท้าวมหาพรหมมีลักษณะเป็นปูนปั้นปิดทอง ออกแบบโดย “จิตร พิมพ์โกวิท”

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ “พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์” อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ต้องการให้สร้างโรงแรมขึ้นบริเวณสี่แยกราชประสงค์เพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง แต่การก่อสร้างมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้งและไม่ราบรื่น

เมื่อเริ่มสร้างโรงแรม เชื่อกันว่าไม่ได้มีการทำพิธีบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณนั้น อีกทั้งฤกษ์ในการวางศิลาฤกษ์ของโรงแรมก็ไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อของโรงแรม คือ เอราวัณ ช้างทรงของพระอินทร์ เป็นชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องทำพิธีบวงสรวงอย่างถูกต้อง

การแก้เรื่องร้ายจึงต้องทำด้วยการขอพรจากพระพรหม นำมาซึ่งการสร้างศาลพระพรหมขึ้น หลังจากการก่อสร้างโรงแรมแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2499

นับแต่วันที่ศาลพระพรหมถูกตั้งขึ้น ก็กลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ ผู้คนทั่วประเทศและทุกมุมโลกต่างพากันมาสักการบูชาด้วยความเชื่อความศรัทธา ขอพรช่วยปัดเป่าอุปสรรคสิ่งร้าย ส่งเสริมโชคลาภ และความสำเร็จทุกด้าน เป็นสถานที่แห่งศรัทธาใจกลางกรุง ที่โด่งดังไปทั่วโลก

ภาพจาก : FB On Lok Yun – ออน ล๊อก หยุ่น

ออนล๊อกหยุ่น ตำนานอาหารเช้า 90 ปี

ไม่ไกลนัก เพียง 50 เมตรจาก MRT สถานีสามยอด ทางออก 3 คือ “ออนล๊อกหยุ่น” ตำนานร้านอาหารเช้าแบบฝรั่งผสมจีน ที่เก่าแก่กว่า 90 ปี ยุค “โก๋หลังวัง” ในอดีตเป็นสภากาแฟแหล่งรวมคอการเมืองและเซียนพระ วันนี้คนรุ่นใหม่แห่เช็กอิน

ออนล๊อกหยุ่น เปิดตั้งแต่ พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) ปัจจุบันสืบทอดถึงทายาทรุ่น 3 พร้อมด้วยรุ่น 4 ที่กำลังร่วมกันสานต่อ ตลอด 90 ปีที่ผ่านมา ออนล๊อกหยุ่นยังตั้งอยู่ที่เดิม ตึกแถว 1 คูหา 2 ชั้น ริมถนนเจริญกรุงข้าง “ดิโอลด์สยามพลาซ่า” และ “โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง” ที่รุ่งเรืองในอดีต คงเมนูเดิม บรรยากาศคลาสสิกเหมือนเดิม ขายทั้งกาแฟ ไข่ลวก ไข่ดาว แฮม ขนมปัง โอเลี้ยง ชาจีน กาแฟ บุกเบิกในสมัยนั้นและยังไม่มีใครทำ

ยิ่งวันนี้การเดินทางสะดวก MRT สามยอด โผล่ขึ้นฝั่งตรงข้ามแทบจะถึง ออนล๊อกหยุ่น จึงมีสีสันเพิ่มขึ้นจากกลุ่มคนรุ่นใหม่และชาวต่างชาติที่ไปรอต่อคิว โดดเด่นสมเป็นตำนานแห่งย่านพระนคร

ตลาดร่มหุบ อันซีนแม่กลองเชื่อมสองสมุทร

ทางรถไฟสายนี้ เป็นรถไฟสายสั้น เชื่อมโยงคมนาคม “สองสมุทร” เข้าด้วยกัน ระหว่างจังหวัด “สมุทรสงคราม” และ “สมุทรสาคร” หรือสถานีแม่กลอง-บ้านแหลม

ตลาดร่มหุบมีความยาวประมาณ 100 เมตร ตั้งอยู่ริมทางรถไฟก่อนถึงสถานีแม่กลอง พ่อค้าแม่ขายวางสินค้าบนพื้นแทบติดกับรางรถไฟ แผงห่างจากรางเพียง 40-70 เซนติเมตรเท่านั้น

ที่นี่เป็นอันซีนของจังหวัดที่เล็กสุดในประเทศไทยอย่าง สมุทรสงคราม เมื่อรถไฟมา แผงขายที่ถูกออกแบบพิเศษจะหุบร่มที่กางและเก็บสินค้าภายในพริบตา เป็นที่มาของชื่อ “ตลาดร่มหุบ” หรือ “ตลาดเสี่ยงตาย” ที่โด่งดังไปทั่วโลก

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ใช่แค่พ่อค้าแม่ขายที่ต้องแข่งกับเวลา นักท่องเที่ยวหรือคนที่มาซื้อของในตลาดก็จะสัญจรไปมาบนรางรถไฟ ทันทีที่สัญญาณไฟเตือน ก็ต้องรีบเคลียร์เส้นทางและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ รวมถึงหาที่หลบ ไม่ว่าจะเข้าไปในร้านหรือเดินออกจากตลาด

หากแต่ความหวาดเสียวนี้กลับน่าตื่นเต้น เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวรอคอยและบินลัดฟ้ามาชมให้เห็นกับตา คนจำนวนไม่น้อยต้องการอยู่ใกล้มากที่สุดเวลาที่รถไฟผ่าน จึงยืนออกันแน่นหน้าร้านค้า กลายเป็นว่าผู้คนท้องถิ่นที่ต้องการซื้อของไม่มีที่เดิน นำมาสู่การจัดระเบียบพื้นที่เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขยับแผงค้าออกเล็กน้อย เพื่อให้ความต้องการของทุกคนบรรจบกัน ทั้งนักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และคนเดินตลาด

ด้านความปลอดภัย มีการส่งสัญญาณเตือน พร้อมให้นักท่องเที่ยวยืนหลังเส้นสีแดง และมีประกาศถึง 5 ภาษา ทั้งไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ด้านขบวนรถเองก็ค่อย ๆ คลานเข้า-ออกสถานี

เมื่อรถไฟผ่านไป ทุกอย่างก็กลายสภาพเป็นตลาดเช่นเดิม วิถีชีวิต ณ ที่แห่งนี้จึงถูกฉายซ้ำ ออกสู่สายตานักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ทั้งยุโรป เอเชีย ต้องมาสัมผัสอะเมซิ่งไทยแลนด์สักครั้งในชีวิต ดึงรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาล

ตลาดร่มหุบเปิดทุกวันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. โดยรถไฟจะวิ่งเข้า-ออกสถานีรถไฟแม่กลอง วันละ 8 รอบ