จุรินทร์ จีบสิงคโปร์ลงทุนอีอีซี พร้อมตั้งทีมศึกษาโอกาสลงทุนท่าเรือสำราญ

STEER ไทย สิงคโปร์ ลงทุน

ไทย-สิงคโปร์ ชื่นมื่น บรรลุ 5 ข้อหารือ ปั๊มยอดการส่งออก ปี’65 พุ่ง เฉียด 3 แสนล้านบาท จุรินทร์ จีบทุนสิงคโปร์ลงทุนอีอีซี พร้อมตั้งคณะทำงานศึกษาโอกาสลงทุน “ท่าเรือสำราญ” ชิงเค้กตลาด 5.5 แสนล้าน

วันที่ 12 ตุลาคม 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมกรอบความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสิงคโปร์ (Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship: STEER) ครั้งที่ 6 ร่วมกับ ดร.ตัน ซี เหล็ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมคนที่สองของสิงคโปร์ ที่ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ วันที่ 12 ตุลาคม 2565

นายจุรินทร์กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ STEER 20 ปี ไทยและสิงคโปร์เห็นพ้องกันว่าจะมุ่งขยายการค้าการลงทุนร่วมกัน โดยไทยหยิบยกประเด็นหารือ 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านสินค้าเกษตร ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ด้านการลงทุน ด้านการส่งออก และความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา

ขณะที่ฝั่งสิงคโปร์ได้หยิบยกประเด็นหารือ 3 ด้าน คือ ในเรื่องของการสนับสนุนนักธุรกิจสิงคโปร์ให้มาลงทุนในไทย ทางด้านพลังงาน ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี ธุรกิจสมาร์ทซิตี้ รวมถึงเรื่องการประสานเรื่องการลดคาร์บอนเพื่อให้ไทยและสิงคโปร์สามารถใช้ประโยชน์จากการซื้อขายคาร์บอนเครดิตร่วมกัน นอกจากนี้ยังได้เสนอขอให้มีการสนับสนุนการจัดตั้งคณะทำงานในเรื่องของการลงทุนธุรกิจเรือสำราญ และด้านทรัพย์สินทางปัญญา

สำหรับในด้านการค้า ไทยมีเป้าหมายว่าในปีนี้การส่งออกจะเพิ่มขึ้น 4% มูลค่า 2.97 แสนล้านบาท จากปัจจุบันในช่วง 8 เดือนแรก ไทยส่งออก 2.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าในปี 2566 การส่งออกจะเพิ่มขึ้น 5% คิดเป็นมูลค่า 3.12 ล้านบาท

“ในด้านการค้าไทยได้หยิบยกประเด็นขอให้สิงคโปร์ช่วยดำเนินการขึ้นทะเบียนฟาร์มออร์แกนิกไข่ไก่และไข่นกกระทา เพื่อเปิดโอกาสให้สินค้าไทยสามารถส่งออกไปที่สิงคโปร์ได้ จากปัจจุบันที่สิงคโปร์ให้การรับรองฟาร์มแล้วทั้งหมด 46 แห่ง พร้อมทั้งขอให้สิงคโปร์ให้ความยืดหยุ่นในเรื่องของการตรวจสอบรับรองฟาร์มไข่ไก่เพื่อการส่งออกให้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องตรวจซ้ำหากผ่านมาตรฐานของกรมปศุสัตว์แล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ทางสิงคโปร์จะมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหารือกับกรมปศุสัตว์ของไทยต่อไป”

ในด้านของการลงทุนไทยได้ขอให้สิงคโปร์เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พร้อมทั้งเชิญชวนให้ทุนสิงคโปร์นำภาคธุรกิจเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สำคัญที่จะจัดขึ้นในปีหน้า เช่น งานแสดงสินค้าแฟชั่น งานแสดงสินค้าอาหาร และงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ทั้งนี้ ทางสิงคโปร์ตอบรับที่จะเข้าร่วมงานแสดงสินค้าทั้งหมด

“ที่สำคัญ ทั้งสองประเทศยังได้บรรลุผลการหารือเรื่องการขยายการลงทุนในส่วนของธุรกิจท่าเรือสำราญ เพื่อการท่องเที่ยว โดยฝ่ายไทยจะประสานขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือกับผู้แทนของสิงคโปร์ เพื่อจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันในการส่งเสริมการลงทุนท่าเรือสำราญ และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการท่องเที่ยว โดยมีเป้าหมายว่าจะสามารถขยายมูลค่าการลงทุนในธุรกิจนี้ได้มากขึ้น เพราะในปัจจุบันตลาดของธุรกิจท่าเรือท่องเที่ยวมีมูลค่า 550,000 ล้านบาท แต่อาเซียนมีส่วนแบ่งตลาดเพียงแค่ 0.2% เท่านั้น นี่จึงเป็นโอกาสที่จะขยายไปได้อีกมาก”

ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ไทยและสิงคโปร์เห็นพ้องกันในเรื่องของการเพิ่มการอำนวยความสะดวกการออกเอกสารในการทำธุรกรรมทางการค้าผ่านรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และในเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภคทั้งสองฝ่ายในเรื่องของการทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยจะให้สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ทั้งสองฝ่ายหารือร่วมกันต่อไป

นอกจากนี้ยังได้มีข้อสรุปด้านทรัพย์สินทางปัญญา ไทยและสิงคโปร์เห็นพ้องกันว่าจะอำนวยความสะดวกในเรื่องของการตรวจสอบรับรองการจดสิทธิบัตรระหว่างกัน

ทั้งนี้ กิจกรรมภายในงานนอกจากจะมีการประชุมร่วมทางด้านการค้าการลงทุนแล้วยังมีการเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ระหว่างผู้ประกอบการไทย 33 ราย สิงคโปร์ 11 ราย รวมเป็น 44 ราย ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 30 ล้านบาท

อีกทั้งยังมีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างภาครัฐและภาครัฐ รวมถึงภาคเอกชนและภาคเอกชน อีก 5 ฉบับ ประกอบด้วย

  1. บันทึกความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาสิงคโปร์
  2. บันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย และสมาคมผู้ค้าเนื้อสัตว์สิงคโปร์
  3. บันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมผู้ผลิตและแปรรูปสุกรเพื่อการส่งออกไทยและสมาคมผู้ค้าเนื้อสัตว์สิงคโปร์
  4. บันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอเวอร์คอมม์ สิงคโปร์
  5. บันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ และบริษัท สลีค อีวี จำกัด